‘ยอ—ยอดเยี่ยม ยิ่งยืนยง’ กับอาชีพยืนเดี่ยวในวันที่ฟรีสปีชไทยยังมีจำกัด
แสตนอัพคอเมดี้ในไทยสามารถกลายเป็นอาชีพหลักได้ไหม?
ในหลากหลายประเทศทั่วโลกนักแสดงคอเมดี้ที่มีชื่อเสียงแม้จะมีจำนวนมาก แต่หากว่ากันจริงๆ แล้วคนที่สามารถทำเป็นอาชีพหลักได้ อาจเหลือเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น แต่นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายคนที่รักในไมโครโฟน ต้องหาอาชีพอื่นเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต และยังสามารถทำสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป
‘ยอ—ยอดเยี่ยม ยิ่งยืนยง’ แสตนด์อัพคอเมดี้ในไทย เขาเริ่มต้นเส้นทางยืนเดี่ยวเมื่อประมาณ 2565 หรือราว 3 ปีที่แล้ว หากเป็นอาชีพอื่นก็คงอยู่ในช่วงเริ่มต้นเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่สำหรับยอดเยี่ยม เขามองว่าการยึดอาชีพแสตนอัพคอเมดี้เป็นอาชีพหลัก โดยเฉพาะในไทย อาจยิ่งทำให้เขาพลาดโอกาสอีกหลายด้านในชีวิตไป แม้จะเป็นงานที่เขารักมากก็ตาม
ที่ผ่านมานอกจากแสตนด์อัพคอเมดี้แล้ว ยอดเยี่ยมทำงานหลักอื่นๆ ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนหรือนักข่าว เพื่อนำเงินมาหล่อเลี้ยงชีวิต และทำสิ่งที่ตัวเองรัก จนกระทั่งวัยใกล้ 30 ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เขาตัดสินใจทำสิ่งใหม่ ด้วยการนำการแสดง ‘ราคุโกะ’ รูปแบบการเล่าเรื่องของญี่ปุ่นมาผสมกับการโชว์เดี่ยว ตามคอนเซ็ปต์ที่ว่า ‘ซูชิจิ้มซีฟู้ด’ หรือหน้าตาโชว์แบบญี่ปุ่น แต่เซนส์ตลกรสชาติคนไทย
ในวันที่ฟรีสปีชในไทยยังมีจำกัด ยืนเดี่ยวยังได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่ม และในวาระการแสดงราคุโกะในไทยครั้งแรก เราชวนยอดเยี่ยมมาพูดคุยเกี่ยวกับทั้งหมดนี้ พร้อมตั้งคำถามว่าแสตนด์อัพคอเมดี้สามารถเป็นอาชีพหลักได้จริงไหม
ชีวิตตลกที่ไม่ตลก
เริ่มสนใจยืนเดี่ยวมาตั้งแต่เมื่อไหร่
คนทำเดี่ยวในไทยส่วนมากก็จะมีพี่โน้ตเป็นไอดอลแหละ เราก็ดูงานของพี่โน้ตตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าเราเริ่มเขียนบทเดี่ยวเล่นๆ สมัยม.ปลาย รวมก็ 10 ปีกว่าๆ แล้ว มันเป็นภาพฝันมากกว่า เพราะมันไม่ได้มีคณะหรือสาขาให้เข้าไปเรียน
ผมโชคดีที่มีพื้นที่ อย่างร้านกตัญญูคอเมดี้คลับของยู—กตัญญู สว่างศรี ที่เปิดเป็นเหมือนคอมมูนิตี้คลับให้คนลองเข้ามายืนเล่า จึงได้มีโอกาสเริ่มทำ แต่ถ้าไม่มีที่แห่งนี้ ผมก็ยังอาจจะต้องดิ้นรนทางอื่น มันจึง 10 ปีที่เด็กคนนี้เห็น Stand-up Comedy เป็นแค่ฝันนะ แต่ได้โอกาสถึงจะเริ่มมาทำ และดูเป็นร่างมากขึ้น
เห็นว่าทำงานอย่างอื่นไปด้วย ในเมื่อชอบเดี่ยวแล้ว ทำไมถึงไม่ทำเป็นอาชีพหลักไปเลย
เรายังคงต้องจริงใจกับมันในการบอกว่า ผมก็ยังไม่ได้คิดว่าอาชีพเดี่ยวมันจะเป็นอาชีพหลักได้ขนาดนั้น ซึ่งเราไม่ได้พูดแค่ว่าในสเกลของประเทศไทย เราดูอาชีพของคนอย่างอดัม แซนด์เลอร์ (Adam Sandler) หรือว่า เควิน ฮาร์ต (Kevin Hart) อันนี้พูดถึงระดับโลกในอเมริกาด้วยซ้ำ คนพวกนี้จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นน่าจะทำแสตนอัพคอเมดี้กันมาก่อน แต่สุดท้ายแล้วใช้งานนี้ไปเป็นต่อยอด ไปทำเป็นนักแสดง ไปเป็นผู้กำกับ ก็คือสุดท้ายคุณก็หาเงินจากงานอื่นๆ
ขณะเดียวกัน ช่วงที่ทำ ‘ยืนเดี่ยว’ สักหนึ่งปีได้มั้ง โห ผลัพธ์ดีมาก ร้านเจ๊งเลย แต่เราก็เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าร้านมันไม่ใช่โมเดลธุรกิจที่ทำเงิน แต่ก็เรียกว่าเป็นความใจรักของพี่ยูมากกว่าที่อยากให้มีคนได้มีพื้นที่มาทำ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของผลลัพธ์นั้น
ด้วยความที่พอร้านปิดตัวลงไป มันก็ทำให้ถ้าเรายังอยากจะทำโชว์อยู่ มันหนีไม่ได้ที่คุณต้องไปหาทางทำออกมาเอง อันนี้เข้าใจได้ ดังนั้น ซัก 2-3 ปีที่ผ่านมา เราเลยทำข่าวเป็นงานประจำไปด้วย ทำโชว์ไปด้วย ซึ่งสำนักข่าวตอนนี้เจ๊งไปแล้ว ไปอยู่ไหน หัวหน้าแก๊งตายหมดเลย (หัวเราะ) ขณะเดียวกันการทำโชว์โดยส่วนมากเราไม่ค่อยได้ตังค์หรอก ถ้าไม่ได้มีสปอนเซอร์ใหญ่ไม่ได้อะไรขนาดนั้น
ผมเลยคิดว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอาชีพหลักไปได้ตลอดก็ได้ ไม่รู้ใครทำได้ไหม ถ้าทำได้คือเชียร์ แต่ส่วนตัวถ้าทำในทางหนึ่งคือมันต้องหาเงินได้นะ แต่มันจะไม่ถูกทำเพื่อเงิน ซึ่งพอคิดอย่างนี้ มันก็ต้องทำอาชีพอื่นน่ะสิ
คนจะเป็นสแตนด์อัพคอเมดี้ จำเป็นต้องเป็นคนตลกไหม
เป็นคำถามที่ดีมากเลย เราไม่มีข้อมูลมากพอที่จะตอบ แค่ได้จากสังเกตเห็นตัวเองกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในแวดล้อมนี้ เราไม่ได้รู้สึกว่าคำว่าคนตลกมันเป็นรูปธรรม เท่ากับคำว่าคนอารมณ์ดี
เราก็มีมุมที่หงุดหงิดงี่เง่า อารมณ์เสีย วันนั้นไม่มีอะไรตลกเลย วันนั้นจะบ่นบ้าง งอแงบ้าง ร้องไห้บ้าง คือคนธรรมดา แต่ว่าในวันนี้เราอารมณ์ดี หยิบจับอะไรมองเป็นเรื่องตลก แซวนั่นแซวนี่ เราแค่คิดว่าคนจำนวนมากที่เป็นคอเมเดี้ยนที่ทำงานตรงนี้เขามีความสามารถในการรับมือเรื่องต่างๆ แล้วมองให้เป็นเรื่องตลก แม้ว่ามันจะเจ็บปวด แซวตัวเองไม่เจ็บเท่าให้คนอื่นมาแซวหรอก เอาตรงๆ เราเห็นแต่คนเครียด แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นแค่ตลกนะ ทุกวงการเครียดหมด
ราคุโกะ เรื่องตลกที่ไม่จำเป็นต้องเรื่องจริง
ได้ยินว่าโชว์ใหม่ของคุณเลือกใช้วิธีเล่าแบบราคุโกะ ทำไมถึงเลือกรูปแบบนี้ในช่วงนี้
เรารู้จักราคุโกะมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว แต่มันเป็นช่วงที่เราต้องตัดสินใจที่ต้องเลือกพอดี ถ้าอยากจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น
ในวัยที่กำลังจะแตะเลข 3 ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในด้านการทำงาน ก็คิดตรงไปตรงมาแค่ว่าอยากมีภาษาที่ 3 ก่อนอายุ 30 คิดตื้นๆ เลยว่ามันน่าจะเป็นของที่ตอนแก่ไปจะขอบคุณ เราคิดว่าภาษาญี่ปุ่นน่าจะตอบโจทย์ แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการศึกษาราคุโกะนะ มันเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น ดังนั้น พอผมออกมาจากงานประจำแล้วเริ่มเรียนภาษา เราก็เตรียมแล้วว่าเราจะลองทำราคุโกะดู
ทำไมการแสดงราคุโกะถึงเหมาะกับการแสดงเดี่ยว
ราคุโกะ ถ้าอธิบายสั้นๆ มันคือเรื่องเล่าวัฒนธรรม เรื่องเล่าขนบ แบบตัวคนเดียว ก็เหมือนเดี่ยวนี่แหละ ที่มีมาตั้งแต่ยุคประมาณสักศตวรรษที่ 16 ก็ 400-500 ปีที่แล้ว เข้าใจว่ามันเป็นรูปแบบเหมือนพระเทศนาธรรม จนพัฒนามาเป็นรูปแบบโชว์บันเทิง ที่ไม่ต้องเป็นพระแล้ว
ความที่พอมันเป็นแบบนี้ หมายความว่าเรื่องเล่าของเขาไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริงก็ได้ โดยราคุโกะมาจากคันจิ ‘ราคุ’ (落) แปลว่าร่วงหล่น ‘โกะ’ (語) ราคุโกะจึงหมายถึงวจีที่ร่วงหล่น ฉะนั้นโดยขนบธรรมเนียม มันเป็นเรื่องเล่าจากอาจารย์สู่ลูกศิษย์ต่อๆ กันมา จะเป็นนิทาน เป็นปกรณัม เป็นเรื่องรอบตัว นิทานพื้นบ้านก็ได้ หรือไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องตลกก็ได้ มีหลายเรื่องที่เป็นเรื่องเศร้า เรื่องดราม่า หรือเรื่องผี
ในโชว์เขาก็จะมีไมค์แบบตั้ง แล้วก็มีพัด มีผ้าเช็ดหน้าใช้ในการแสดง ในการแบบหยิบจับ เอาพัดมาทำเป็นตะเกียบกิน มันคือเป็นศิลปะในการแสดงที่ใช้อุปกรณ์เท่านี้ รูปแบบมันคือราคุโกะ แต่ว่าการที่เราถ้าเข้าไปดูมันก็เหมือนเราไปดูเดี่ยวเลย เราไม่กล้าพอที่จะทำโชว์ทดลอง เราไม่คิดว่าเราจะต้องถึงขนาดเปลี่ยนโชว์ไปทั้งหมด แค่ว่าหน้าตาภาพลักษณ์ญี่ปุ่น แต่ว่ารสชาติเป็นคนไทยดีกว่า
การแสดงราคุโกะแบบเดี่ยวไมโครโฟนต้องเตรียมอะไรเป็นพิเศษไหม
เราตั้งใจจะเอาเข้ามาทำแบบเป็นภาษาไทย เพราะยังไม่เคยมีทำภาษาไทยมาก่อน
ทีนี้ก็เจอโจทย์แบบเดียวกันที่ถามว่า ถ้าอย่างนี้คนไทยจะเข้าใจไหม แต่เรายังคงอยากจะให้มันอยู่ในคอนเซ็ปต์ว่าคนไทยกินได้อร่อย เหมือน ‘ซูชิจิ้มซีฟู้ด’ หน้าตาญี่ปุ่น รสชาติคนไทย เราออกแบบโชว์นี้ให้คนไทยฟัง มันจะเป็นลูกครึ่งลูกผสม
จริงๆ เราก็จะเป็นแบบเดียวกับการทำเดี่ยวเลย คือเราฝึกบทในห้องเราแหละ เราไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ได้ทำอะไรที่แบบพิเศษมาก ความแตกต่างของการทำเดี่ยวกับราคุโกะคือมันจะใช้วิธีนั่งบนเสื่อ เราก็แค่ไปฝึกนั่ง ซึ่งก็ยอมรับว่า ต่อสู้กับอายุพอสมควรเหมือนกันนะ ได้ทำได้ 1 ชั่วโมงกว่าๆ หมอกายภาพก็บอกว่าไม่ดีเลยนะท่านี้ ไม่ดีเลย ก็มีแค่เรื่องนี้แหละที่ต้องเตรียมตัวกับสุขภาพ
การทำโชว์ราคุโกะ มันช่วยอะไรในการทำเดี่ยวของตัวเองบ้าง
เราอยากเห็นเดียวในไทยมี ประเภท (genre) ใหม่ๆ มีวิธีการเล่าเรื่องด้วยวิธีการใหม่ๆ สอง ย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเดี่ยวไมโครโฟนมันไม่มี career path คนทำเดี่ยวในไทย คุณเริ่มวันนี้ ฤดูเก็บเกี่ยว คุณอาจจะมา 7-8 ปีข้างหน้า อันนี้คือภาพที่เรามองกว้างๆ ส่วนตัวเราก็คิดแค่ว่า อยากจะลองทำราคุโกะเป็นนามสกุลเราดู เผื่อมันจะช่วยย่นย่อระยะเวลาฤดูเก็บเกี่ยวนี้ได้ เราพูดด้วยความรู้สึกว่าเราไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นว่ามันใช่หรือเปล่านะ แต่ก็ทำไปเถอะ มึงก็ลองทำไปเถอะ แค่นั้นเอง
ฟรีสปีชกับความตลก
เรื่องตลกของคุณส่วนใหญ่เป็นแบบไหน
ส่วนหนึ่งมันก็จะหนีไม่พ้นจากเรื่องส่วนตัว อาจจะเป็นมุกที่เบาๆ สนุกๆ หน่อย แต่เดิมทีเราตอนเริ่มทำ เราจะหนักไปทำมุกที่ล้อเลียนเสียดสีสังคมการเมืองพอสมควรเลยนะ ตอนนี้เราโตขึ้นเราก็เบาลง เราก็ภาระเยอะขึ้น ก็โอเค ยอมรับตามสภาพว่าเราดิบไม่ได้เท่าเดิม
อย่างในโชว์นี้มันจะมีองค์ประกอบ 3 ส่วน มีส่วนหนึ่งจะเป็นราคุโกะที่เราตีความของเราเอง เป็นภาษาไทย เป็นเรื่องของเราเอง ในเรื่องนี้จะมีตัวละครคนหนึ่งก็คือเจ้าตัว ‘โรเบิร์ต’ นกพิราบ มันก็อยู่ในคอนเซ็ปต์ว่ามันน่าเชื่อว่าตัวมันเป็นสัตว์นำโชค วางแผนว่าจะมีบทสนทนากับโรเบิร์ต เหมือนกับคนที่ก็เดินทางแล้วก็เจอเพื่อนร่วมทาง นี่ก็เป็นบทหนึ่งที่เราวางเอาไว้ว่า เจ้านกพิราบตัวนี้มันช่างจิกช่างกัด เป็นเทคนิคในการเล่าว่าเราไม่ได้พูดเองนะ มันพูด อันนี้ก็จะเป็นมุกของเรา ที่เราเรียกว่าเราก็กึ่งๆ จิกๆ กัดๆ นิดหน่อย แต่ว่าไม่หนักขนาดนั้นหรอก เนอะ
เวลาคุณแสดงคุณมีเส้นไหมว่าเรื่องนี้ตลกได้ เส้นไม่ได้
แน่นอน ถ้าในทางทฤษฎีเรายังเชื่อว่าทุกเรื่องมันตลกได้หมดแหละ มันไม่มีเส้นหรอก เราก็ต้องยอมรับว่า มันคาบเกี่ยวกับประเด็นทางฟรีสปีชแหละ เสรีของสื่อสารได้แค่ไหน พูดอะไรได้บ้าง นำเสนออะไรได้บ้าง คือคุณต้องอนุญาตให้คนสามารถที่จะตลกขบขันร่วมไปถึงดูถูกและเหยียดหยามกันได้ อันนั้นคือความเชื่อเรานะ
ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเราเชื่อว่าถ้าเกิดคุณไม่อนุญาตให้การดูถูกหรือเหยียดหยามเป็นสิทธิ์ คุณจะสร้างกฎเกณฑ์หรือระเบียบบางอย่างเพื่อปิดปากคน ในรูปแบบของ censorship แล้วพอเป็นเช่นนั้น มันก็จะกลายเป็นคนที่ตีความกฎหมาย จะได้ใช้อำนาจในการปิดปากคน มันก็เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการจัดการคนจน คนยากไร้ คนที่เป็นชนชั้นล่าง บางทีเขาไม่มีอะไรจะไปสู้กับชนชั้นนำ นอกจากฝีปาก บางทีคุณก็ต้องอนุญาตให้เขาสามารถจะด่าได้ ถ้ายังมีความอยุธรรมทั้งหลาย แค่ให้กูด่ายังไม่ได้อีกเหรอ ขอสักอย่างให้เขาหน่อย นี่คือความเห็นเรา
ทีนี้แน่นอนว่าข้อเสียคือ มันก็จะต้องตกหล่นคนบางคนที่อาจจะอยู่ในกลุ่มที่เป็นชนผู้น้อยที่เขาถูกพูดถึงเป็นประเด็นในเรื่องนี้ ว่า เอ้า มึงมาดูถูกกูทำไมวะ อย่างเช่น บางทีเราเห็นคนที่เป็นชนชั้นล่างด่านักการเมือง ไอ้อ้วนตัวแดกภาษี คนอ้วนผิดอะไร แต่ขณะเดียวกัน มันก็ดีอยู่ที่เขาก็ได้ระบายออกอะ คือคนอ้วนไม่ผิด เขาไม่ผิดที่เขาอ้วน เขาผิดที่โกง แต่คุณจะไปบอกเขาอย่าไปด่าเขาอย่างนี้สิ เฮ้ย จะเหลือนิดนึงเปล่า ให้เขาพูดไปเถอะ มันจะเป็นอารมณ์แบบนั้น
แต่เวลาเราเล่าจริงๆ หรือในโชว์ กูก็ไม่กล้าแตะขนาดนั้นเหมือนกันนะ เพราะ Sense of Community จะมาพร้อมกับ Sense of Comedy เสมอ ในอดีตเราได้เห็นตลกคาเฟ่ในไทย ล้อไอ้อ้วน ความดัน ขาเบียด บุลลี่ ทุกวันนี้เราก็บอกว่ามันทุเรศอะ สังคมไม่ยอมรับ มันเป็นมุกที่ไม่ตลกแล้ว เราไม่ใช่คนกำหนด เมื่อสังคมเป็นภาพรวมมองว่าอันนี้ไม่ตลก เราก็ต้องน้อมรับ ปรับตัว
ฉะนั้นจึงหนีไม่ได้จากกัน คุณก็ต้องเรียนรู้ว่าสังคมเขามีที่ทำแบบไหน เขามองไปในทางแบบไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเห็นด้วยหรือรับฟังไปหมดทุกเรื่อง หาบาลานซ์ที่มันเหมาะสมนะ อย่างตัวเราเองอะ เราก็ต้องสำรวจตัวเองเยอะว่าเราอยู่ในจุดที่มีพริวิเลจเหมือนกันนะ
แล้วถ้าเกิดว่าคนเราหยิบมาเล่าเรื่องเขารู้สึกไม่ดี เราควรทำยังไง
เป็นไปได้สูงมาก มีเรื่องเยอะเลยที่คนฟังแล้วจะรู้สึกไม่ดี ถ้าพูดตามตรงคือ ก็ต้องเป็นเรื่องของเขาแหละ
มันจะแอบใจร้ายที่คิดอย่างนี้ แต่ก็พูดตรงๆ ว่า ถ้าเรามีลูกเราก็จะสอนลูกว่าโลกมันไม่ใจดีหรอก สร้างคุณให้กับตัวเองดีกว่า ขอโทษจริงๆ ที่บางทีเรื่องจริงบางเรื่องมันจะไปสะกิดต่อมใครบางคน ชีวิตมันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเต็มไปด้วยเรื่องที่คุณเจอแล้วไม่สบายใจ มันจะเต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่ชอบเลย ไม่อยากฟัง ไม่อยากพูดถึง ไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงมัน แต่จะทำยังไงได้ว่าบางทีเราก็จะต้องเจอมัน เราคิดอย่างนั้นว่า ถ้าหากเราไม่ได้เจตนาที่เจาะจะบุลลี่เงื่อนไขใครสักคนหนึ่ง โดยเจตนาจริงๆ เราไม่อยากขอโทษหรอก เราก็มองว่าเราไม่พึงไปนั่งระมัดระวังคำพูดมากกว่าพัฒนาความบริสุทธิ์ของเจตนา
คนที่เจตนาดีแต่บางครั้งเลือกใช้คำพูดไม่ค่อยดี ไม่สุภาพบ้างบางทีเรามองข้ามให้ได้ แต่ต่อให้คุณพูดสุภาพ แต่ฟังดูแล้วเจตนาแม่งไม่ดี คนมันก็รู้สึกได้ อันนี้มันแล้วแต่คนนะ แต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟรีสปีชโดยตรงเลย
คิดว่าคนไทยชอบเรื่องตลกแบบไหน
คนไทยหลากหลาย เราไม่กล้าพูดเลย ยิ่งข้อจำกัดของฟรีสปีช เราคิดว่ามันจำกัดศักยภาพของผู้ฟังมากๆ เพราะว่าถ้าเกิดคุณจะเอาแบบเซฟๆ ไม่ต้องกลัวดราม่า บางทีคุณก็เป็นแนวแบบ Slapstick หรือตลกคาเฟ่ เราก็ชอบดูนะ แต่เราก็ต้องยอมรับว่า น้อยมากที่เนื้อหาจะพูดถึงสังคมหรือการเมือง อาจจะมี แต่เขาก็จะผิวๆ บางๆ ซึ่งมันอาจจะเป็นของที่ขายดีที่สุดอย่างหนึ่งในไทย ด้วยข้อจำกัดทางสังคม ด้วยกฎหมาย
แต่คุณลองสังเกตคนที่พอจะใช้ภาษาได้ ภาษาอังกฤษหรืออะไรอย่างนี้ แล้วเขามีใจรักในเรื่องราวตลก ก็จะไปเสพงานตลกฝรั่ง ก็ไปดูจะเป็นหนังก็ได้ เป็นซีรีย์ก็ได้ เป็นพวกซิตคอมของฝรั่ง หรือสแตนอัพคอมเมดี้เลย เราเลยไม่กล้าที่จะพูดว่าคนไทยจะชอบแนวแบบไหน อันที่จริงเราลึกกว่านั้นอีก
แล้วพอความชอบของคนไทยมีทางเลือกน้อย มันทำให้เล่าเรื่องยากขึ้นไหม
ปัจจัยพวกนี้เราควบคุมไม่ได้ เราก็เหมือนคนทำเพลง คนไม่ชอบก็ไม่ชอบ มีเพื่อนเป็นศิลปิน ทำเพลงมากูก็ไม่ชอบฟัง เราทำเดี่ยว เพราะมีเพื่อนที่กูไม่ชอบดู จะไปว่าอะไรได้เนอะ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ก็เป็นเพื่อนกันได้ เขาก็ทำงานของเขา เราก็ทำของเรา ก็ตามหาตลาดของคุณ แค่นั้นเอง มันจะแมส มันจะใหญ่ ก็ขึ้นอยู่กับแวดล้อมสังคมของคุณว่าเขายอมรับไหม เชื่อว่าอนาคตจะมีคนไม่ชอบผมเยอะขึ้น (หัวเราะ) ถ้าไม่ได้กะว่าจะเอาใจทุกคน
ในมุมของเป็นฝ่ายผู้ผลิต ศิลปินที่ทำงาน เราไม่กล้าพอจะไปแนะไปบอกหรือไปตั้งคำถามกับฝั่งของคนดู อยากได้อะไรวะ เอาอะไรเอาแบบไหน ถ้าเขาจะฟัง เขาจะฟัง ถ้าเขาอยากดู เขาจะดู ทุกวันนี้ คนไทยจำนวนมากก็ไปฟังเพลงต่างชาติ ก็ไปเสพงานของต่างชาติ แล้วเราห้ามได้ที่ไหน
หน้าที่ของเราก็มีแต่พัฒนาเรื่องเล่าของเราเอง