“ขับรถแบบนี้ ไม่ชนกูไปเลยล่ะ!” ทำไมคนไทยชอบประชด เข้าใจการพูดจาประชดประชัน ผ่านบริบทสังคม
‘ไม่ชนกันไปเลยล่ะ’
ปากตะโกนด่าไล่หลังดังสนั่นลั่นซอย คนอะไรขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ ถนนก็มีอยู่แค่เลนเดียว ฟุตบาตก็ไม่มี แถมซอยยังแคบอีกต่างหาก เราก็เดินชิดติดกำแพงจนจะขึ้นไปเดินกำแพงอยู่แล้ว แต่อีกฝั่งดันขับเร็ว หรือกำลังคิดว่าตัวเองอยู่ในสนามแข่งรถกันนะ
คิดคำด่าอะไรไม่ออก ก็ขอปากแซ่บตะโกนคำประชดประชัดอะไรสักอย่างออกไปก่อนแล้วกัน ในใจก็รู้ดีอยู่แล้วว่า แต่ละคำที่พูดไปก็คงไม่เกิดขึ้นจริง อย่างในกรณีนี้ รถคันที่ขับเฉี่ยวเราก็คงไม่ย้อนกลับมาขนเราเข้าจริงๆ หรอก
เพราะอะไรกันนะ ทำไมเวลาพูดคุยกับใคร ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน ก็ต้องแอบติดพูดจาประชดประชันตลอดเลย รู้แหละว่าอะไรแบบนี้มันไม่ควรทำเท่าไหร่ แต่ปากก็อดไม่ได้ที่จะหลุดประชดออกมา แล้วการพูดในลักษณะนี้มีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังบ้างไหมนะ
เราประชดประชันกันไปทำไม
เชื่อว่า หลายคนคงเคยพลั้งเผลอหลุดคำพูดประชดประชันกันมาบ้าง โดยไม่ทันได้รู้ตัวว่า สิ่งที่พูดออกไปนั้นคือการประชด เพราะคำพูดที่ดูเล่นลิ้น เสียดสี หรือเหน็บแนมเล็กๆ น้อยๆ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว
สำหรับใครที่ไม่ชัวร์ว่าการประชดหน้าตาประมาณไหน เพนนี เพ็กซ์แมน (Penny Pexman) นักวิจัยจาก Western University ได้อธิบายถึงนิยามของการประชดประชันเอาไว้ผ่านงานศึกษาใน Journal of Language and Social Psychology ว่า การประชดประชัน คือการพูดหรือแสดงออกด้วยลักษณะเสียดสี โดยมักมีความหมายในทางตรงกันข้ามกับความจริง เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกขัดเขิน ทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่น ตลอดจนเพื่อวิพากษ์วิจารณ์บางสิ่งบางอย่างด้วย
ตัวอย่างเช่น ‘ทำงานเก่งขนาดนี้ คงได้เงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยเท่าพันเท่า’ หรือ ‘ขอบคุณแกมากที่ช่วยทำให้ทุกอย่างยากขึ้น’ ทั้ง 2 ประโยคเป็นคำพูดประชดเมื่อมีคนในทีมทำงานพลาดจนเกิดปัญหาใหญ่โตเสียดสีถึงความผิดพลาดที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมา
แม้ฟังดูแล้วความหมายของการประชดประชันจะดูเป็นไปในทางลบมากกว่าทางบวก ทว่าการประชดประชันก็อาจไม่ใช่เพื่อทำร้ายความรู้สึกหรือวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามเพียงเท่านั้น แต่ยังมีมิติของการใช้งานที่หลากหลายกว่าด้วยเช่นกัน
จูเลีย จอร์เกนเซน (Julia Jorgensen) ศาสตราจารย์ จาก Eastern Illinois University ได้ศึกษาเกี่ยวกับหน้าที่ของการเสียดสีประชดประชันในบริบทคำพูด โดยมองว่า การประชดยังมีบทบาทในการสร้างอารมณ์ขันให้กับบทสนทนา หรือสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาใช้ในบริบทที่เป็นกันเอง ทั้งยังสามารถช่วยลดความตึงเครียดหรือความรุนแรงของการวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามลงได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในกรณีที่อีกฝ่ายเป็นบุคคลใกล้ชิดหรือมีความสัมพันธ์สนิทสนมกันอยู่ก่อนแล้ว
หากนึกไม่ออกว่าการประชดจะอยูช่วยลดความรุนแรงได้อย่างไร ลองนึกถึงเวลาเพื่อนสนิทเราชอบมาสาย แทนที่จะเลือกคำพูดตำหนิอย่างตรงไปตรงมา อย่าง ‘รู้จักเวล่ำเวลาบ้างไหม ทำไมมาสายอีกแล้ว’ ก็อาจใช้คำประชดประชันประมาณว่าว่า ‘ดีจังเลยนะ มาเร็วเหมือนเดิมเป๊ะ’ หรือ ‘มาเร็วขนาดนี้ ร้านรวงปิดหมดแล้ว’ ถึงแม้จะมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ถูกทำให้เบาลงด้วยอารมณ์ขันแทน ซึ่งสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดความบาดหมางกันได้
อย่างไรก็ตาม ความหมายและวิธีการใช้ถ้อยคำประชดประชัน ก็อาจขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานเป็นหลักว่า ต้องการใช้มันไปในทิศทางไหน หรือเพื่อสื่อสารสิ่งใดต่อฝ่ายตรงข้าม ซึ่งอาจต้องพิจารณาร่วมไปกับเจตนาของผู้พูดไปพร้อมกันด้วย
การประชดประชันกับบริบททางสังคม
แม้การประชดจะดูเหมือนเป็นวิธีการสื่อสารแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถพูดในทำนองดังกล่าวออกมาได้ แต่จริงๆ แล้ว การประชดประชัน ยังเป็นหนึ่งในวัจนกรรมภาษา ที่สะท้อนมิติทางสังคมและวัฒนธรรมได้ด้วยเช่นกัน
ก่อนอื่น ขออธิบายสักเล็กน้อยว่า วัจนกรรม คืออะไร เพราะหลายคนก็อาจไม่คุ้นหูกับคำนี้กันสักเท่าไหร่ สมบูรณ์ พจน์ประสาท ได้อธิบายถึงความหมายของวัจนกรรม ผ่านหนังสือ วัจนปฏิบัติศาสตร์เบื้องต้น ว่าคือ การกระทำที่เกิดขึ้นจากคำพูด ซึ่งการกระทำนั้นอาจมาจากฝั่งผู้พูดหรือผู้ฟังก็ได้ คำที่ใช้แสดงวัจนกรรมอาจจะมีคำกริยาที่สื่อถึงการกระทำอย่างชัดเจน หรือบางทีก็ไม่ได้ระบุไว้ตรง ๆ ก็ได้ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อมที่ช่วยให้เราตีความได้ว่าคนพูดต้องการจะสื่ออะไรจริง ๆ
ดังนั้นแล้ว การประชดประชัน ก็เลยเป็นวัจนกรรมทางภาษารูปแบบหนึ่งที่สะท้อนถึงความไม่สมดุลทางอำนาจในสังคม จนทำให้เราไม่สามารถสื่อสารบางอย่างออกได้ตรงๆ จนต้องเลือกใช้ถ้อยคำประชดประชันในการแสดงออกถึงสิ่งนั้นอย่างแนบเนียน
ในงานศึกษาจาก Humanities Journal Vol.23 No.1 ของ อุมาภรณ์ สังขมาน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้อธิบายถึงการเป็นภาพสะท้อนของความไม่สมดุลทางอำนาจในสังคมเช่นกัน แถมยังได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติมในบริบทของสังคมไทยด้วยว่า ผู้คนในสังคมไทยมักใช้การประชดประชันในประเด็นหรือหัวข้อที่ขัดแย้งกับบรรทัดฐานทางสังคม
อีกทั้ง ยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า การประชดประชันยังแฝงไปด้วยนัยของการแสดงความเหนือกว่าหรือความได้เปรียบทางความคิดของผู้พูดต่อฝ่ายตรงข้าม เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับปลดปล่อยความรู้สึกคับข้องใจ ไม่พอใจ หรืออึดอัดใจของผู้พูดด้วย
ตัวอย่างสถานการณ์ที่สามารถสะท้อนให้เห็นว่า การประชดประชันเป็นมากกว่าถ้อยคำเสียดสี อย่าง เวลาถูกเจ้านายเรียกประชุมตอนดึกๆ ดื่นๆ แน่นอนว่า ด้วยสถานะและอำนาจอันแตกต่างกัน เราไม่สามารถโต้ตอบเจ้านายได้โดยตรง เราจึงเลือกใช้ถ้อยคำประชดประชันในการแสดงความไม่พอใจ เช่น ‘เจ้านายวางแผนดีมากเลย ประชุมหลังเลิกงานทุกวัน’ หรือ ‘เรียกประชุมแม้แต่ตอนกลางคืน โปรเจ็กต์นี้ปังแน่นอน’
จะเห็นได้ว่า การใช้ถ้อยคำลักษณะประชดประชันแสดงถึงความต่างชั้นบางอย่างระหว่างผู้พูดและฝ่ายตรงข้ามพอสมควร หรือหากย้อนกลับไปในกรณี เมื่อถูกขับรถเฉี่ยวในตอนต้น การที่เรากล้าประชดประชันออกไป นั่นเพราะเราไม่มีอำนาจพอจะเอาผิดหรือเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยตรง การประชดจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย ตลอดจนสามารถปลดปล่อยความรู้สึกอึดอัดภายในใจได้นั่นเอง
ในท้ายที่สุด การประชดประชัน ก็เป็นเพียงกลวิธีการสื่อสารอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวโยงกับบริบทโดยรอบของสังคมและวัฒนธรรม เพราะต้องไม่ลืมด้วยว่า ภาษาหรือสิ่งที่เราสื่อสารออกไป ก็คือภาพสะท้อนของความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ตลอดจนโครงสร้างอำนาจในสังคมของเราเอง
สู้ตัวต่อตัวไม่ได้ ก็ขอใช้คำพูดประชดในการประชันฝีปากหน่อยก็แล้วกัน
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Manita Boonyong
Editorial Staff: Runchana Siripraphasuk