ไรเดอร์ต้องหันไปพึ่งใคร ในวันที่ยังสิทธิแรงงานยังมีปัญหา แถมยังถูกคุกคามทางเพศ
เมื่อลูกค้าถูกไรเดอร์คุกคาม แพลตฟอร์มนั้นก็อาจสั่งแบน และแจ้งความดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย แต่เมื่อ ‘ไรเดอร์ถูกลูกค้าคุกคาม’ ไรเดอร์จะสามารทำอะไรได้บ้าง?
นับตั้งแต่แพลตฟอร์มสั่งอาหาร สั่งของ และเรียกรถผ่านออนไลน์เป็นที่นิยมในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง อาชีพ ‘ไรเดอร์’ (rider) ก็กลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่คนไทยทำกันเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2567 มีตัวเลขผู้ที่เป็นไรเดอร์โดยประมาณอยู่ที่ 3-4 แสนคนในหลากหลายแพลตฟอร์ม
ปัญหาความเป็นอยู่ และสิทธิที่ขาดหายของอาชีพด้านแรงงานของไรเดอร์ กลายเป็นประเด็นที่พูดถึงกันมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เกิดปัญหาที่ไรเดอร์ถูกลูกค้า ‘คุกคามทางเพศ’ ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความในแอปพลิเคชันเพื่อขอซื้อบริการทางเพศ ไปจนถึงการกอดเอวแน่นขณะใช้บริการ และการ ‘จับ’ อวัยวะเพศของไรเดอร์ขณะซ้อนมอเตอร์ไซค์
เพื่อสำรวจถึงความรู้สึก ข้อคิดเห็น และปัญหาที่ไรเดอร์เผชิญจากเหตุการณ์เหล่านี้ The MATTER ชวนไปพูดคุยหาคำตอบกับตัวแทนไรเดอร์ และสหภาพไรเดอร์ไปด้วยกัน
ดอม (นามสมมติ) เพศชาย อายุ 21 ปีคือเหยื่อของการถูกลูกค้าคุกคามทางเพศ เขาเป็นไรเดอร์มากว่า 1 ปี เพื่อหาเลี้ยงชีพและส่งตัวเองเรียนในฐานะนักศึกษา เล่าให้เราฟังว่า วันหนึ่งในเดือนสิงหาคม 2568 เขาขับขี่รับส่งผู้โดยสารตามปกติ จนได้รับผู้โดยสารชายคนหนึ่งจากสถานีสยาม ลูกค้าได้เอ่ยปากขออนุญาตว่า “ขอจับหน่อย กลัวตก เพราะนั่งเป็นครั้งแรก”
ซึ่งตนก็เข้าใจว่าลูกค้าอาจไม่เคยชินกับการนั่งมอเตอร์ไซค์จึงไม่ได้ว่าอะไร และคิดว่าอาจจับที่ไหล่หรือแขน แต่จากนั้นลูกค้าก็เริ่มเอามือมาเกาะที่เอวผม โดยดอมเล่าว่า “ผมก็ไม่คิดว่าจะมาเกาะเอว แล้วสักพักก็เริ่มลามไปตรงนั้นของผม”
โดยปกติแล้ว ดอมจะตั้งกล้องไว้ที่หน้ามอเตอร์ไซค์เสมอ เพื่อเก็บคลิปคอนเทนต์จากการทำอาชีพไรเดอร์ ซึ่งดอมเผยว่ากล้องที่ตั้งไว้ก็มีขนาดใหญ่ ไม่ได้เป็นการซ่อนไว้แต่อย่างใด และเชื่อว่าลูกค้าน่าจะเห็น แต่ก็เลือกที่จะทำแบบนั้นอยู่ดี ซึ่งภาพหลักฐานจากกล้องวิดีโอทำให้เห็นว่า ลูกค้าได้เลื่อนมือไปจับที่อวัยวะเพศของดอมอย่างตั้งใจอยู่หลายครั้ง แม้ดอมจะนำมือออกอย่างสุภาพ ก็ยังเลื่อนมือกลับมาจับอยู่ดี
เมื่อคลิปวิดีโอถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ได้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก ทั้งในส่วนที่รู้สึกกังวลกับสวัสดิภาพของไรเดอร์ หรือบางส่วนที่เข้ามาแซวด้วยแนวคิดว่า “อย่างไรเสียไรเดอร์ก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นก็ไม่น่ามีอะไรเสียหาย แถมไรเดอร์ก็น่าจะชอบอีกด้วย”
ทั้งนี้ ในทางกฎหมาย การคุกคามทางเพศทางร่างกายนั้น อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การจับอวัยวะเพศของผู้อื่นโดยไม่ยินยอมนั้น จึงอาจเข้าข่ายมีความผิดได้เช่นกัน
ดอมบอกว่า เขายังไม่เคยรายงานลูกค้าในแอปฯ ด้วยตัวเอง แต่ก็เคยเห็นตามกลุ่มเฟซบุ๊กที่ไรเดอร์เข้ามาแชร์ประสบการณ์กัน และมีหลายคนที่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ แต่เมื่อแจ้งศูนย์ของแพลตฟอร์ม แพลตฟอร์มก็ตอบกลับเพียงว่า ให้ไปแจ้งความดำเนินคดีด้วยตัวเอง
เขาจึงเลือกที่จะไม่ไปแจ้งความ โดยประเด็นหลักคือ “ไม่อยากเสียเวลา เพราะต้องทำงานหาเงินเพื่อจะเอาเงินไปเรียน” นอกจากนั้น กังวลว่าหากมีการตักเตือนหรือทำร้ายผู้โดยสาร ผู้โดยสารอาจไปรายงานไรเดอร์ทางศูนย์ของแพลตฟอร์มได้ ซึ่งอาจโดนแบนและไม่สามารถขับขี่หารายได้ได้อีก จึงพยายามใจเย็นดังที่ได้เห็นในคลิปวิดีโอ เขายังมีความเชื่อส่วนตัวด้วยว่า แพลตฟอร์มไม่เคยฟังไรเดอร์เลย ไม่ว่าเขาจะบอกอะไรไป
อนุกูล ราชกุณา ผู้ประสานเครือข่ายสหภาพไรเดอร์ เล่าไปในทิศทางเดียวกัน ว่าที่ผ่านมา แม้จะมีระบบในแพลตฟอร์มให้ไรเดอร์สามารถรายงานลูกค้าได้ แต่ก็ไม่มีการเข้ามาเป็นตัวกลางจัดการปัญหา ปล่อยให้ไปแจ้งความเอง จนเรียกได้ว่า “แจ้งไปก็เท่านั้น” แถมยังกังวลว่าลูกค้าอาจแกล้งรายงานกลับเพราะไม่พอใจ
อนุกูลชี้ว่า การละเมิดไรเดอร์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด ซึ่งไรเดอร์ที่เผชิญปัญหาก็มีทั้งไรเดอร์ชาย ไรเดอร์หญิง และเจอจากลูกค้าทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็นการคุกคามด้วยคำพูด การนั่งกอดโอบเอวแน่นเกินปกติทั่วไป ไปจนถึงการเลือกให้ไปส่งในสถานที่เปลี่ยว
โดยตนเชื่อว่า เมื่อมีไรเดอร์ร้องเรียนลูกค้าเข้าไปในระบบ ในระบบก็ควรมีการบันทึกว่า ว่าลูกค้าคนไหนมีพฤติกรรมอย่างไร แต่กลับยังเห็นบัญชีผู้ใช้ของลูกค้ายังใช้งานได้ ไม่ได้มีการระงับบัญชีอย่างที่ควรเป็น จึงกังวลว่าลูกค้าอาจยิ่งมีพฤติกรรมทำซ้ำอีกเรื่อยๆ หรือเกิดการคุกคามซ้ำ เพราะเห็นแล้วว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้
ปัจจัยหลักที่อนุกูลเห็นว่าทำให้การคุกคามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือการไม่มีกฎหมายมาคุ้มครองสภาพการทำงานของไรเดอร์ เพราะในปัจจุบันนั้น จะเรียกว่าไรเดอร์เป็น ‘แรงงานไร้สถานะ’ ก็คงไม่ผิดนัก
อนุกูลระบุว่า สถานะที่แพลตฟอร์มให้ คือนิยามว่า ‘พาร์ทเนอร์’ (partner) ผ่านลักษณะของสัญญาจ้างทำของ ซึ่งหมายถึงการที่ผู้รับจ้างตกลงจะทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จแก่ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงให้ค่าจ้างเพื่อผลสำเร็จของงานนั้น กรณีนี้ ก็คือการส่งของ หรือส่งคนให้สำเร็จเสร็จสิ้น และมีสาระสำคัญคือ ‘ผลสำเร็จของงาน’ ทั้งที่ความเป็นจริง มันไม่ได้จบเพียงแค่ผลของงาน
อนุกูลชี้ถึงรายละเอียดที่บริษัทมีอำนาจในการให้คุณให้โทษกับไรเดอร์ และมีกฎข้อบังคับที่จะต้องปฏิบัติตาม อย่างการจะต้องใส่ยูนิฟอร์มของบริษัทในการปฏิบัติงาน การจะต้องซื้อกล่องใส่ของจากบริษัท ไปจนถึงการสามารถลงโทษเมื่อทำผิดกฎหรือถูกรายงานได้ ซึ่งอนุกูลเห็นว่า เป็นลักษณะของความเป็น ‘นายจ้าง-ลูกจ้าง’ มากกว่าแค่การจ้างทำของ
ทางสหภาพไรเดอร์เคยเรียกร้องต่อภาครัฐ เพื่อให้คุ้มครองสภาพการทำงานของไรเดอร์มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ไรเดอร์ได้รับความเป็นธรรมเมื่อถูกละเมิด แพลตฟอร์มได้เข้ามาดูแลแรงงานอย่างเหมาะสม และยังจะครอบคลุมไปถึงปัญหาอื่นๆ ที่ไรเดอร์เผชิญอยู่อีกด้วย
แต่จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในข้อเสนอแม้จะมีการเสนอไปแล้วในหลายหน่วยงาน รวมถึงคณะทำงานของกระทรวงแรงงาน ที่ต้องการให้เกิดการพูดคุยกันระหว่างภาครัฐ ไรเดอร์ ลูกค้า และบริษัท แต่อนุกูลชี้ว่า บริษัทก็มักปฏิเสธการเข้ามาพูดคุยและหาทางแก้ปัญหาร่วมกันอยู่เสมอ
โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการถูกลูกค้าคุกคาม รวมถึงปัญหาอื่นเช่น ค่ารอบ (ค่าจ้างงานในการวิ่งส่งของหรือส่งคนแต่ละครั้ง) ความปลอดภัย หรือเวลาในการทำงาน การจะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ยั่งยืนได้ จำเป็นต้องเริ่มจากการที่คนทำงานต้องมีสถานะทางกฎหมายก่อน
ปัญหาสถานะไรเดอร์นี้ ยิ่งถูกตอกย้ำผ่าน ‘พ.ร.บ. ส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ’ ที่ผลักดันโดยกระทรวงแรงงาน ที่มีรายละเอียดในการกำหนดกลไกการคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์ม แยกออกไปจาก พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
ซึ่งหากข้อกฎหมายนี้ผ่าน จะทำให้ไรเดอร์ขาดสิทธิในการเข้าถึงสิทธิต่างๆ ที่แรงงานทั่วไปได้รับ เช่น การเข้าถึงประกันสังคมตามมาตรา 33 หรือกองทุนเงินทดแทน สวัสดิการพื้นฐานอื่นๆ รวมถึงการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ และมาตรการป้องกันการทำงานเกินเวลาโดยไม่ได้รับค่าชดเชย
ไม่เพียงเท่านั้น ตามร่างกฎหมายดังกล่าว ไรเดอร์ยังต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ เป็นประจำ ซึ่งเป็นกองทุนที่ใช้เพื่อการให้สิทธิกู้ยืมเงิน แต่ได้มีการช่วยเหลือหรือสนับสนุนสวัสดิการ เช่น การช่วยค่ารักษายามบาดเจ็บ แต่อย่างใด ซ้ำร้าย คณะกรรมการกองทุนยังมาจากการแต่งตั้ง มิใช่การเลือกตั้ง
ทั้งหมดนี้ ทำให้อนุกูลเห็นว่าร่างกฎหมายใหม่นี้ “ไม่ให้ประโยชน์ใดกับไรเดอร์เลย” และกลายเป็นการรับรองอำนาจของบริษัทในการควบคุมและดำเนินการต่างๆ กับไรเดอร์ได้ต่อไป
ความกังวลนี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในกลุ่มอาชีพไรเดอร์เท่านั้น โดยอนุกูลให้ความเห็นว่า นี่อาจเป็นการตอกย้ำและส่งเสริมเทรนด์การจ้างงานในยุคสมัยใหม่ ที่ผลักให้แรงงานออกนอกระบบไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้รับการคุ้มครองจากภาครัฐ ซึ่งเป็นอีกปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกมุมโลก
ดังนั้น เมื่อไรเดอร์เป็นอีกอาชีพในยุคสมัยใหม่ ที่ถูกโฆษณาว่าเป็นอาชีพที่รายได้สูง และมีอิสระ แต่อาจถึงเวลาแล้วที่ความอิสระนี้จะต้องควบคู่มากับความคุ้มครอง และสวัสดิภาพที่พึงมีตั้งแต่แรก
ดอม ทิ้งท้ายข้อคิดเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้นไว้ว่า “เข้าใจได้ว่าคู่แข่งเยอะ แต่ก็อยากให้ช่วยมาดูไรเดอร์บ้าง เพราะเขามาวิ่งงานเพราะอยากมีรายได้เสริม แต่บางทีมันก็ไม่พอใช้ ไหนจะค่าน้ำมัน ไหนจะค่ารถ และถ้ามีผู้โดยสารซ้อนแล้ว เราก็ต้องดูแลเขาอีก เหมือนลูกค้าฝากชีวิตไว้กับไรเดอร์”
editor: Thanyawat Ipoodom