ของฟรีมีในโลกไหม? สำรวจ ‘ต้นทุนแฝง’ ของการออกกำลังกาย ในดินแดนแห่งความเหลื่อมล้ำ
ทุกคนคิดว่า ‘ของฟรี’ มันมีในโลกไหม?
คำถามที่เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสสังคมที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ ‘ความฟรี’ ที่ใครก็เอื้อมถึงได้ ไม่ว่าจะร่างกายที่แข็งแรง การนอนหลับพักผ่อนเต็มที่ แสงแดดอบอุ่นตอนเช้า สังคมคุณภาพ หรือแม้กระทั่งอากาศที่หายใจเข้าไป เราจึงลองตั้งคำถามในแบบเดียวกันนี้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ในหลากอาชีพว่าสำหรับพวกเขาแล้ว มันฟรีจริงหรือไม่
“โลกนี้มันไม่มีอะไรฟรี อยู่ที่ว่าเรายอมแลกไหม” — โตเกียว 30, ครีเอทีฟ ที่ไม่เคยมีเวลาเลิกงานตายตัว
“ทุกๆ อย่างมันมีต้นทุนหมด” — ครีม 33, เสมียน บริษัทสื่อออนไลน์แห่งหนึ่ง
นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนหนึ่งระหว่างการสนทนาจากกลุ่มคนที่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อตะเกียกตะกายให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น The MATTER ชวนฟังเสียงของพวกเขา และพาไปสำรวจความจริงพร้อมกันว่า คุณภาพชีวิตดีใครก็เอื้อมถึงได้จริงไหม ผ่านบทความชิ้นนี้
คนแรกที่เราพูดคุยด้วยคือ‘ซาราห์’ โปรดิวเซอร์ วัย 26 ปี ซึ่งบอกกับเราว่า แม้แต่ชนชั้นกลาง ก็ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อพาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่เขาว่าดี เพราะเราต่างไม่ได้เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันทุกคน ขณะที่บางคนไม่ได้อยู่ในชุมชนที่แดดจะส่องถึงด้วยซ้ำ “แล้วเราจะสามารถพูดได้จริงๆ เหรอว่ามันฟรี?” ซาราห์ถามกลับ
“ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเพื่อการศึกษา หรือการเข้าสังคม ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปจะเห็นว่าเราจ่ายอะไรไปเยอะมากเพื่อให้เราได้มายืนตรงจุดนี้ อย่างแรกเราต้องยอมรับว่าทุกอย่างมันไม่ฟรี แต่เราสามารถพัฒนาตัวเองไปถึงจุดนั้นได้ ซึ่งแต่ละคนก็จะต้องผ่านความยากลำบากที่ต่างกัน” — ซาราห์
โปรดิวเซอร์วัย 26 ปีกล่าวและเน้นย้ำว่าเส้นทางตลอดทั้งชีวิตมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งหมด และก็ไม่ได้แปลว่าวันที่ประสบความสำเร็จจะสามารถไปชี้นิ้วสั่งสอนใครได้เช่นกัน
via Shutterstock
เช่นเดียวกับ ‘โตเกียว’ ครีเอทีฟ วัย 30 ปี ที่มองว่าต้องแลกกับอะไรหลายๆ อย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดี
“คนทำงานแบบเรามันคือคนที่มีห้องไว้แค่ซุกหัวนอน เราเลิกงานกลับไปถึงห้องเที่ยงคืนทุกวัน โอเค ถ้าเราสามารถจัดการเวลาได้ดีเราก็อาจจะทำได้ เช่น ตื่นเช้าสัก 6 โมงมาวิ่ง แต่เราก็ต้องไปอดทนกับความง่วงระหว่างวันอยู่ดีเพราะพักผ่อนน้อย โลกนี้มันไม่มีอะไรฟรี อยู่ที่ว่าเราจะยอมแลกไหม” —โตเกียว
“บางคนที่เขาทำงานหนักแล้วสามารถแบ่งเวลาไปออกกำลังกายได้มันก็มี แต่ขอเน้นว่าหนักของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน สำหรับเราจบหนึ่งวันเราก็ไม่อยากทำอะไรต่อแล้ว ไม่มีแรงไปทำอย่างอื่นแล้ว” ครีเอทีฟรายนี้เล่าต่อ
ขณะที่ ‘ครีม’ เสมียน วัย 33 ปี ก็ยืนยันว่า สุขภาพดีๆ อาจจะไม่ได้ฟรีอย่างที่คิด เพราะสิ่งเหล่านี้ก็มีต้นทุนแฝงหรือต้องลงทุนเช่นกัน “ทุกอย่างมีต้นทุนหมด เราต้องการเวลาที่ปกติก็แทบจะไม่มี เสียเงินในการเดินทาง ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องงานแล้วหลังจากที่เราทำงานหนักมากๆ เราก็ไม่อยากทำอะไรต่อแล้ว เราอยากใช้เวลากับตัวเองเงียบๆ อยากชัทดาวน์ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น” เสมียนวัย 33 ปีกล่าว
via Shutterstock
ของฟรี(?)ในความเหลื่อมล้ำ
จากบทสัมภาษณ์ของทั้งสามคนก็พอจะทำให้เห็นถึงความแตกต่างของทุนชีวิตที่ถูกจำกัดด้วย ‘เวลา’ ซึ่งแม้จะมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่หากมาพร้อมกับทุนชีวิตที่ดีก็อาจจะมีโอกาส หรือจัดการเวลาได้ง่ายกว่า ในขณะที่คนอีกกลุ่มต้องก้มหน้าก้มตาทำงาน เวลาพักผ่อนหากยิ่งมีมาก ยิ่งกลายเป็นการสูญเสียโอกาสในการสร้างรายได้ และสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ อย่างชัดเจน
ประเทศไทยประสบกับปัญหาความเหลื่อมล้ำมาเป็นเวลานาน ย้อนกลับไปในปี 2561 ประเทศไทยติดอันดับความเหลื่อมล้ำ (วัดจากดีชนีค่าสัมประสิทธิ์จีนี – GINI Coefficient) เป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ขณะที่ปี 2564 ประเทศไทยขยับตัวลงมาเป็นอันดับที่ 9 ในอาเซียน และเป็นอันดับที่ 97 ของโลก ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี
ขณะที่ข้อมูลจาก World Bank ระบุว่า ในปี 2564 ปีเดียวกันนี้ ประเทศไทยมีค่าสัมประสิทธิ์จีนีของรายได้อยู่ที่ 43.3% ซึ่งถือเป็นความเหลื่อมล้ำที่ยังคงสูง และเมื่อเราพิจารณาที่การกระจุกตัวของรายได้และความมั่งคั่งแล้วจะพบว่ามีความเหลื่อมล้ำสูงมาก เนื่องจากความมั่งคั่งมากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในมือของประชากรที่รวยที่สุดซึ่งคิดเป็น 10% ของประเทศนี้
และถ้าอ้างอิงข้อมูลจากวงเสวนา Policy Forum ซึ่งระบุว่า มีเด็กวัย 7 - 15 ปี กว่า 52,808 คนต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน หรือในด้านสาธารณสุขที่สัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ยังคงน้อยและกระจุกตัวแค่ในเมือง แม้กว่า 99.56% จะสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ก็ตาม หรือจะเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่คนไทยเคยวิพากษ์วิจารณ์กันว่าคนจนจริงๆ ได้บัตรกันสักกี่คน ซึ่งเราพบว่าสัดส่วนของคนที่จนที่สุดได้สิทธินี้เพียง 51% เท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว ความเหลื่อมล้ำ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับคนชายขอบ หรือเป็นเรื่องของเงินทองแต่เพียงเท่านั้น แต่มันกำลังเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ฝังรากลึกในโครงสร้าง แม้แนวโน้มที่ผ่านมาจะพยายามบอกเราว่าช่องว่างของมันเริ่มขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นก็ตาม แต่ในวันนี้มันก็ยังไม่เพียงพอจะให้คนบางกลุ่มเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานเสียด้วยซ้ำ
จึงทิ้งไว้เป็นคำถามต่อไปว่า คุณภาพชีวิตดีๆ ที่เราอยากมีมันฟรีจริงไหม?
อ้างอิงจาก