รมว. คลัง เปิดแผน Financial Transformation ชูเพิ่มรายได้-เร่งลงทุน ดันเศรษฐกิจไทยโต 4-5%
รมว. คลัง เปิดแผน Financial Transformation มุ่งสู่การคลังสมดุล เน้นสร้างรายได้ เพิ่มพื้นที่การคลัง ผ่านการปฏิรูประบบราชการ -ขยายฐานภาษี นำทรัพย์สินของรัฐมาแปลงเป็นรายได้ ตั้งเป้าลดการขาดดุลเหลือ 3% ใน 2 ปี พร้อมเร่งการลงทุนต่อ GDP จาก 24% เป็น 30-35% ชี้หากทำได้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ถึง 4-5%
29 ส.ค. 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา Financial Transformation 2025 พลิกโฉมการคลังไทยสู่ความยั่งยืน จัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ว่า เป้าหมายในการทำ Financial Transformation ของกระทรวงการคลัง มาจากนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) ของไทยในปัจจุบันที่อยู่ในระดับที่ไม่สมดุล โดยสิ่งที่บ่งชี้คือ พื้นที่การคลัง (Fiscal Space) ที่เหลืออยู่ไม่มากนัก โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ประมาณ 65% ทำให้เหลือพื้นที่ในการกู้ประมาณ 5% ของ GDP หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท
“การเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย เพราะถึงเวลาก็ไม่ใช่ทางเลือก แต่เราก็จะทำให้ดีที่สุด เพราะยังมีหลายช่องทางที่จะปรับปรุงให้อยู่ในเกณฑ์ที่ทำได้”
นายพิชัย กล่าวว่า การพลิกโฉมการคลังสู่ความยั่งยืนต้องแก้จากปัญหาที่สามารถควบคุมได้ในประเทศ ได้แก่
1. การเพิ่มรายได้ ปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่ต่อเนื่องมาจากความไม่สมดุลของรายได้และรายจ่าย โดยตั้งเป้าหมายลดการขาดดุลงบประมาณจาก 4% ในปี 2568-2569 ให้เหลือ 3% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า
“ปัญหาการขาดดุลของเรามาจากรายจ่ายภาครัฐที่จัดสรรงบประมาณทุกปีที่ 3.8 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เกือบ 3 ล้านล้านบาท เป็นรายจ่ายเกี่ยวกับระบบการทำงานของราชการและการอุดหนุนเรื่องต่างๆ ส่วนรายจ่ายลงทุนมีน้อยมาก โดยงบประมาณที่ใช้ลงทุนจริงที่ทำให้เกิดการจ้างงานมีประมาณ 5 แสนล้านบาท หรือ 2.5% ของ GDP ซึ่งค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการเพิ่มรายได้สามารถเริ่มได้จากการปฏิรูประบบราชการ การรวบรวมข้อมูลการจ่ายเงินอุดหนุนให้ภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การช่วยเหลือทำได้อย่างตรงกลุ่มและควบคุมรายจ่ายได้”
นอกจากนี้ โครงสร้างการจัดเก็บภาษีของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เก็บภาษีได้เพียง 15% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าประเทศที่มีลักษณะคล้ายกันประมาณ 3% หรือควรเก็บได้ที่ 18% ของ GDP ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 6 แสนล้านบาท โดยทำได้จากการขยายฐานภาษี
2. การนำทรัพย์สินที่ภาครัฐมีอยู่มาแปลงเป็นรายได้ (Monetize) เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนไปแล้ว อย่างสายส่งไฟฟ้า ทางหลวง หรือสัมปทานต่างๆ สามารถนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อสร้างรายได้ และช่วยลดภาระหนี้ได้ เช่น ทางด่วนดินแดงที่หมดสัมปทานแล้วสามารถนำมาจัดโครงสร้างใหม่เพื่อ Monetize ได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องรายได้จากการลงทุน (Investment Income) ซึ่งมาจากรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถือหุ้น โดยชี้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุน (ROA) ของไทยไม่ถึง 2% เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าทำไมถึงได้ผลตอบแทนต่ำ
นายพิชัย กล่าวว่า การจะทำให้เก็บรายได้ภาษีมากขึ้นต้องทำให้เศรษฐกิจเติบโต ซึ่งหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตแบบ 3 ต่ำ คือ ต่ำกว่าอดีต ต่ำกว่าศักยภาพ และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปี 2568 หน่วยงานเศรษฐกิจได้คาดการณ์การเติบโตของ GDP อยู่ที่ 2.0% - 2.3%
โดยสาเหตุที่เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพมาจากภาคการส่งออกและภาคการเกษตรที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน และสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยลดลงจาก 51% ก่อนต้มยำกุ้ง เหลือ 24% ในปี 2567
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้ คือ การเพิ่มการลงทุนของไทยจาก 24% เป็น 30-35% เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ GDP เติบโตได้ถึง 4-5% และจะทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง รวมถึงเพิ่มพื้นที่การคลัง (Fiscal Space) ได้
ขณะที่การลงทุนใหม่ที่มาจากต่างประเทศ (FDI) ก็มีสัญญาณเริ่มชะลอตัว เนื่องจากไทยยังไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนไปเป็นการผลิตสมัยใหม่ได้
“สินค้าต่างๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังมีโครงสร้างการผลิตแบบเก่าทำให้ดัชนีอยู่ที่ประมาณ 1,700 ถ้าจะให้เพิ่มต้องเปลี่ยนโครงสร้างการลงทุนของประเทศ ซึ่งทำได้โดยการเปิดประเทศ สร้างความพร้อมการลงทุน เนื่องจากไทยมีการวิจัยพัฒนาน้อยต้องดึง Know How เข้ามา ซึ่ง FDI น่าจะช่วยได้ เราต้องการ FDI ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้น”
นายพิชัย กล่าวว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยที่ต้องได้รับการแก้ไขมีประมาณ 10 เรื่อง เช่น ที่ดิน ซึ่งต้องหาแนวทางให้ต่างชาติสามารถเช่าที่ดินแทนการเป็นเจ้าของได้ โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องกฎหมายให้ต่างชาติสามารถเช่าที่ดินของรัฐและเอกชนได้ 99 ปี
“ต้นเหตุของปัญหาเรื่อง Fiscal Space คือโครงสร้างเศรษฐกิจ ดังนั้นการแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ”