ลุยเจรจาสหรัฐ‘รอรัฐบาลใหม่’เคลียร์ปม ‘แหล่งกำเนิดสินค้า’ - ชงข้อตกลงเข้ารัฐสภา
สถานการณ์การเมืองไทยที่เปลี่ยนแปลงล่าสุดกระทบนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลขณะที่ในส่วนของการเจรจาภาษีกับสหรัฐแม้จะบรรลุอัตราภาษีนำเข้าที่ 19% แต่ทีมเจรจาของไทยและสหรัฐยังต้องคุยในรายละเอียดอีกมาก ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะเป็นรัฐบาลรักษาการแต่การเดินหน้าเจรจายังมีทีมเจรจาที่หารือกับสหรัฐเพื่อรอทำข้อเสนอส่งให้กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่
สำหรับ ครม.ชุดที่พ้นหน้าที่ไปได้เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint statement) ระหว่างไทยกับสหรัฐตามข้อตกลงที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 19%
ส่วน ครม.ชุดใหม่ต้องมาอนุมัติรายละเอียดที่จะเจรจากับสหรัฐทั้งในส่วนของRegional Value Content (RVC) และรายละเอียดอัตราภาษีศุลกากรที่ไทยจะยกเว้นภาษีให้สหรัฐกว่า 10,000 รายการ โดยส่วนนี้ ครม.ชุดใหม่เข้ามาพิจารณาแล้วเสนอรัฐสภาเห็นชอบ
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า แม้ว่าขณะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทำให้เป็นรัฐบาลรักษาการ แต่การเดินหน้าเจรจาภาษีกับสหรัฐยังเดินหน้าต่อ โดยมอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานหลักในการหารือสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) โดยมีรายละเอียดที่ทีมไทยแลนด์ต้องหารือกับสหรัฐต่อเนื่อง ได้แก่
1.การกำหนดสัดส่วนถิ่นกำเนิดสินค้า (Local Content) ที่สหรัฐเสนอสัดส่วน 50% ส่วนไทยเสนอสัดส่วน 40% เท่ากับข้อตกลงอื่น ซึ่งไทยต้องการเจรจาให้ลดลงเพื่อประโยชน์กับผู้ประกอบการในประเทศ
2.การกำหนดโควตาการนำเข้าสินค้าที่ไทยจะยกเว้นภาษีให้กับสหรัฐกว่า 10,000 รายการ โดยบางรายการเจรจาสหรัฐขอกำหนดเงื่อนไขนำเข้า เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องการให้ใช้ข้าวโพดในไทยที่มาจากเกษตรกรในประเทศก่อน ซึ่งเงื่อนไขอยู่ระหว่างการเจรจา
“ขั้นตอนการเจรจาทีมไทยแลนด์กับทีมงาน USTR เป็นการคุยรายละเอียด ซึ่งคุยกันได้ตามปกติเพราะในฐานะรัฐบาลรักษาการต้องทำงาน แต่เรื่องที่ต้องเข้า ครม.และส่งไปยังรัฐสภาต้องรอ ครม.ที่มีอำนาจเต็มมาตัดสินใจ แต่ข้อมูลทุกอย่างได้เตรียมให้พร้อมที่สุด” แหล่งข่าว กล่าว
ภาษี 19% มีผลต่อเนื่องหลายเดือน
สำหรับเงื่อนไขในเรื่องที่คำตัดสินของศาลอุธรณ์สหรัฐที่ตัดสินว่าการใช้มาตรการภาษีของสหรัฐเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งอาจทำให้มาตรการภาษีตอบโต้ถูกระงับใช้ไปในท้ายที่สุดนั้น แหล่งข่าวระบุว่า เรื่องนี้ยังต้องดูความชัดเจนในชั้นของศาลสูงสุด หรือศาลฎีกาของสหรัฐว่าจะตัดสินในทางใดซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลาอีกหลายเดือน แต่ผลในเรื่องของภาษี 19% นั้นมีผลไปแล้ว
นอกจากนั้นผู้ประกอบการไทยต้องเสียภาษีนำเข้าให้สหรัฐอัตรา 19% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 และจะมีผลต่อเนื่องอีกหลายเดือนจนกว่าจะมีคำตัดสินใหม่ออกมา โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐนั้นก็มีทางเลือกในการจัดเก็บภาษีเป็นรายสินค้าได้หากศาลฎีกาพิพากษาให้ทรัมป์แพ้คดี ซึ่งเป็นแนวทางที่ทรัมป์และทีมงานทำเนียบขาวในสมัยนี้เคยประกาศใช้กับบางประเทศมาก่อนหน้านี้
“พิชัย” ชี้ภาษีสหรัฐไม่กระทบขีดแข่งขันไทย
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีคำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐ ให้ภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์ผิดต่อกฎหมายว่า ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไรไทยคงเสมอตัว หากผลตัดสินว่าถูกกฎหมาย ไทยก็เดินหน้าการเจรจาภาษีกับสรัฐไปตามเดิม เท่ากับว่าสถานะของทุกคนก็เท่าเดิม
ส่วนกรณีที่คำตัดสินให้ภาษีศุลกากรตอบโต้นั้นผิดกฎหมาย ไม่ว่าอัตราภาษีของสหรัฐจะกลับไปอยู่ที่จุดไหนทุกประเทศจะได้รับอัตราเดียวกัน ซึ่งไม่กระทบความสามารถในการแข่งขันของไทย เพราะไทยไม่ได้แข่งขันกับสหรัฐแต่แข่งขันกับประเทศที่ส่งออกเช่นเดียวกัน
“หากทรัมป์ชนะก็เดินหน้าการเจรจาภาษีตามเดิม แต่หากไม่ชนะ ภาษีจะกลับไปอยู่จุดไหนก็เหมือนกันทุกประเทศกลับไปอยู่ในจุดเดียวกัน ผมเชื่อว่ากลไกการค้าโลกคงจะแข่งขันกันในรูปแบบนี้ต่อไป”
นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องที่ไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐนั้น อันที่จริงแล้วสินค้าส่วนใหญ่ไม่ใช่ไทยผลิตจำนวนมาก ดังนั้นไม่น่าจะมีปัญหาหากไทยแก้ปัญหาได้ถูกทาง
“พาณิชย์” เดินหน้าเจรจาด้านเทคนิค
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การเจรจาภาษีทรัมป์ระดับเทคนิคยังดำเนินการต่อได้ โดยใช้ระยะเวลาหนึ่งรอ ครม.ใหม่มาตัดสินระดับนโยบายได้ ฉะนั้นการเจรจาไม่น่ามีปัญหา โดยการเจรจาจะเป็นระดับเทคนิคมีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง
“การเจรจาภาษีสหรัฐ ไม่มีปัญหาขณะเป็นช่วงของการเจรจาในระดับเทคนิคเพราะในระดับนโยบายเราสามารถปิดดีลได้แล้วใน 19% โดยในช่วงนี้ ในการพิจารณาในรายละเอียดต่างๆ ซึ่งยังพอมีเวลาอีกมากจนกว่าจะมีครม.ชุดใหม่ มาดำเนินการในระดับนโยบายต่อไป”นายฉันทวิชญ์ กล่าว
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวว่า แม้รัฐบาลยังรักษาการแต่การเจรจาเดินหน้าต่อไม่สะดุด ซึ่งสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 19% ใช้บังคับสินค้าส่งออกไปสหรัฐ
ส่วนก้าวต่อไปเป็นการเจรจารายละเอียดระดับเจ้าหน้าที่ เช่น กฎกำเนิดสินสินค้า Regional Value Content (RVC) ที่เดิมเคยใช้ 40 % ในกรอบเจรจาอื่น ซึ่งต้องเจรจาว่ายังคงใช้สัดส่วนนี้หรือไม่ รวมทั้งเจรจาการกำหนดโควตาการนำเข้า เ
ทั้งนี้ การเจรจาส่วนนี้จะใช้เวลาหลายเดือน ซึ่งสอดคล้องกับการที่ไทยจะได้รัฐบาลใหม่ ดังนั้นรัฐบาลรักษาการไม่มีผลต่อการเจรจาภาษีทรัมป์เพราะเป็นขั้นตอนระดับเจ้าหน้าที่
"เอกชน”คาด 3 ฉากทัศน์ภาษีทรัมป์
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ส่วนการที่ศาลอุทธรณ์สหรัฐตัดสินว่าภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ “ส่วนใหญ่” ของทรัมป์ที่กำหนดใช้กับหลายประเทศทั่วโลกนั้น “ผิดกฎหมาย” เพราะใช้อำนาจเกินขอบเขตนั้น ซึ่งทรัมป์ มีสิทธิยื่นศาลฏีกาอีกครั้ง โดยต้องยื่นภายในวันที่ 14 ต.ค.นี้ คาดว่าศาลฏีกาจะใช้เวลาตัดสินไม่เกินสิ้นปีนี้ดังนั้นภาษีทรัมป์ยังมีความไม่แน่นอนและประเมินได้ 3 กรณี คือ
1.หากศาลฏีกายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ สหรัฐจะต้องคืนภาษีที่เก็บไปก่อนหน้านี้ให้กับผู้นำเข้าของสหรัฐที่เป็นผู้ยื่นฟ้อง แต่ก็ยังไม่จบเพราะผู้นำเข้ารายอื่นอาจจะฟ้องเพื่อขอภาษีคืนอีกก็มีโอกาสเช่นกัน
2.กรณีศาลฏีกาตัดสินว่า ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ถูกกฎหมาย ก็สร้างความชอบธรรมให้กับทรัมป์ ก็จะทำทรัมป์สามารถดำเนินการเก็บภาษีต่อไปได้ และอาจจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
3.กรณีที่ทรัมป์เก็บภาษีเป็นรายประเทศไม่ได้ ก็มีโอกาสที่จะเก็บภาษีเป็นรายสินค้าเพราะมีกฏหมายอื่นที่จะใช้สำหรับการเก็บภาษี ซึ่งทั่วโลกจะถูกเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้มองว่าน่าจะเก็บภาษีในสินค้าที่สหรัฐต้องการผลิตในประเทศเป็นหลักและมีความพร้อมพอสมควร
“ความไม่แน่นอนคือความไม่แน่นอน สิ่งที่ไทยทำได้ คือ การเดินหน้าไปตามกระบวนการก่อน ซึ่งคาดว่าภาษีทรัมป์จะชัดเจนสิ้นปีนี้ ซึ่งระหว่างนี้ไทยเจรจารายละเอียดต่อ"
ทั้งนี้ หากศาลฏีกาสหรัฐติดสินว่าการประกาศของทรัมป์ผิดกฎหมาย ซึ่งไทยยังใช้ประโยชน์จากการพิจารณารายละเอียดของภาษี เช่น ถิ่นกำเนิดสินค้า การตัดสินค้า สวมสิทธิ การตรวจสอบย้อนกลับ โดยนำไปใช้ในการเจรจาความตกลงการค้าอื่นได้ เช่น สหภาพยุโรป ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ไทยเดินหน้าเจรจาภาษีทรัมป์ในรายละเอียด เพราะขณะนี้ไทยเปิดดีลภาษีได้ 19%ไปแล้วก็เหลือเพียงการลงรายละเอียดเท่านั้น ดังนั้นการมีรัฐบาลรักษาการไม่น่ากระทบดีลภาษีสหรัฐ โดยระหว่างนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ทำงานไป รอเวลารัฐบาลชุดใหม่มาดำเนินการต่อ
ภาษีทรัมป์กดดันการผลิตเอเชีย
ภาษีนำเข้าสหรัฐกำลังสร้างแรงกดดันต่อ“กิจกรรมภาคการผลิต”ทั่วทั้งเอเชีย จากผลสำรวจภาคเอกชนโดย S&P Global ที่เผยแพร่วันที่ 1 ก.ย.2568 ตอกย้ำความกังวลว่าผู้ผลิตในเอเชียที่เร่งส่งออกสินค้าไปก่อนเพื่อเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้นจากสหรัฐ อาจต้องเผชิญความยากลำบากในการสร้างกำไร เพราะการส่งออกมีแนวโน้ม “อ่อนแอลง” ในช่วงหลายเดือนข้างหน้าตามการประเมินของนักวิเคราะห์
ผลสำรวจระบุว่า ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันซึ่งเป็นฐานการส่งออกสำคัญ ต่างเผชิญกับการหดตัวของกิจกรรมภาคการผลิตในเดือนสิงหาคม สะท้อนถึงความท้าทายที่เอเชียต้องรับมือจากผลกระทบภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์
“เรามีแนวโน้มที่จะเห็นผลกระทบจากภาษีของสหรัฐรุนแรงขึ้นต่อไป โดยประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐ เช่น ไทยและเกาหลีใต้ จะเปราะบางเป็นพิเศษ” เขากล่าวเสริม
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคการผลิตของ“ญี่ปุ่น”ที่จัดทำโดย S&P Global อยู่ที่ 49.7 ในเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้นจาก 48.9 ในเดือน ก.ค.แต่ยังคง “ต่ำกว่าเส้นแบ่ง 50” ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง
ขณะที่กิจกรรมโรงงานของ“เกาหลีใต้”ก็หดตัวเช่นกัน โดยดัชนี PMI ของ S&P Global อยู่ที่ 48.3 ในเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้นจาก 48.0 ในเดือน ก.ค.แต่ยังหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ผลสำรวจยังชี้ด้วยว่า กิจกรรมการผลิตใน“ไต้หวัน”อ่อนแอลงในเดือน ส.ค.นี้
จีนยังโต-ไทยโตเร็วในรอบ 13 เดือน
ทั้งนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตทั่วไปของ“จีน”จาก RatingDog ซึ่งจัดทำโดย S&P Global ขยับมาอยู่ที่ 50.5 ในเดือน ส.ค.จากระดับ 49.5 ในเดือน ก.ค.สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และ “ทะลุเส้นแบ่ง 50 จุด” ที่ใช้แยกระหว่างการขยายตัวกับการหดตัว
“อุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนแรง คำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่อาจเกินขีดจำกัด และการฟื้นตัวของกำไรที่ล่าช้า ความยั่งยืนของการปรับตัวดีขึ้นครั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าการส่งออกจะทรงตัวได้จริงหรือไม่ และอุปสงค์ภายในจะฟื้นตัวได้เร็วเพียงใด” หยูกล่าว
“อินโดนีเซีย”ปริมาณการผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน อยู่ที่ 51.5 ส่วนการผลิตของไทยขยายตัวเร็วสุดรอบ 13 เดือน โดยดัชนี PMI เดือน ส.ค.ของไทยขยายตัวที่ 52.7
“อินเดีย”มีกิจกรรมการผลิตขยายตัวเร็วสุดรอบ 17 ปี ในเดือน ส.ค.จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง แต่การที่รัฐบาลทรัมป์กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าอินเดีย เช่น เสื้อผ้า อัญมณี และเครื่องประดับ ไปสหรัฐอัตราสูงถึง 50% อาจกดดันการเติบโตไตรมาสถัดไป
“เวียดนาม”และ“มาเลเซีย”จะรายงานดัชนี PMI ปลายสัปดาห์นี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของกิจกรรมการผลิตในภูมิภาคชัดขึ้น