คุยกับ Qanarn แบรนด์ที่ใช้รูปทรงเรขาคณิต เพื่อออกแบบเฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ โดย 2 ผู้ก่อตั้งที่ใช้ชีวิตบนเส้นขนาน
หลังจากที่ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปพักใหญ่ ปีที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นคนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านกันมากขึ้น บรรดากิจกรรมเอาต์ดอร์หลายหมวดหมู่ได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งงานดนตรี สโมสรกีฬา คอมมูนิตี้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนกิจกรรมแสนธรรมดาอย่างการเดินเล่น นั่งจิบเครื่องดื่มในคาเฟ่พร้อมหนังสือดีๆ สักเล่ม เป็นไลฟ์สไตล์ที่หลายคนต้องทำทุกวันหยุดสัปดาห์
กานต์-กานต์ เทพสถิตย์ (ซ้าย) กับขนุน-ตรัยวิศว์ พงษ์บูรณกิจ (ขวา)
ซึ่ง ขนุน-ตรัยวิศว์ พงษ์บูรณกิจ และกานต์-กานต์ เทพสถิตย์ Co-founder แบรนด์ Qanarn (ขนาน) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่นำรูปทรงเรขาคณิตมาต่อยอดเป็นเฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ เล่าว่า ทั้งคู่อยากเห็นภาพเฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตนอกบ้านในทุกสถานที่ จึงออกแบบคอลเลกชันแรกคือ Qidi Outdoor ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหมอนขิดที่มีรูปทรงสามเหลี่ยมเรขาคณิต โดยนำจุดเด่นของรูปทรงสามเหลี่ยมมาปฏิรูปให้กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีรูปลักษณ์แปลกใหม่ ผสานกับสีสันแบบ ‘ป็อปแต่เรียบ’ เพื่อให้สามารถนำไปวางที่ไหนก็ได้
เดิมทีทั้งคู่มีพื้นฐานอินทีเรียดีไซเนอร์ (Interior Designer) จากรั้วสีเขียวเวอร์ริเดียน ด้วยปูมหลังที่เติบโตมาในย่านพระนครตั้งแต่เรียนมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จนเข้าสู่รั้วศิลปากร วังท่าพระ ภูมิทัศน์ที่รายล้อมไปด้วยความรุ่มรวยทางสถาปัตยกรรมของเกาะรัตนโกสินทร์ ได้หล่อหลอมให้ทั้งคู่นิยมความเป็นไทยร่วมสมัยและผสมผสานลงไปในงานออกแบบ
เอเวอเรสต์หรือกรุงเทพฯ ก็ต้องการแดดอุ่นๆ บนเก้าอี้ดีๆ
ขนุนกับกานต์เล่าว่า ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่จบมัธยมโรงเรียนเดียวกัน ทั้งยังจบเรียนจบจากคณะมัณฑนศิลป์เหมือนกัน ความคิดที่อยากทำโปรเจกต์อะไรสักอย่างด้วยกันจึงอยู่ในหัวมาโดยตลอด เพียงแต่ได้เริ่มต้นจริงหลังกลับจากเดินเทรกกิงด้วยกันที่‘Everest Base Camp’ เทือกเขาเอเวอเรสต์
ปลายปี 2565 ที่เอเวอเรสต์ ตลอด 14 วันกับการเดินทางกว่า 130 กิโลเมตร มิตรภาพระหว่างกานต์กับขนุนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งคู่ผลัดกันฉุดดึงและประคองกันไปสู่ปลายทาง จนได้ค้นพบว่ากันและกันคือพาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุดในชีวิต
“เราบอกว่าถ้าเราไปไม่ไหว ก็ให้เขาขึ้นไปเลย อย่างน้อยให้มีสักคนที่ไปถึง แต่เขาก็บอกว่า ถ้าไม่ได้ไปถึงด้วยกันก็ยอมลงด้วยกันดีกว่า แล้วถ้ามีโอกาสค่อยไปด้วยกันใหม่ เราเลยคิดว่าเพื่อนคนนี้เป็นมากกว่าเพื่อนปกติ เราเผชิญความยากลำบากด้วยกัน คิดว่าเราคงทำงานร่วมกันได้” ขนุนเล่า
ท่ามกลางความหนาวเหน็บของเอเวอร์เรสต์ในเดือนธันวาคม ความมั่นใจในกันและกันค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ทำให้ทั้งคู่มีกิจวัตรประจำวันร่วมกันคือ นั่งอุ่นร่างกายบริเวณโต๊ะเก้าอี้ไม้หน้าเกสต์เฮาส์
“ตอนเราไปอากาศหนาวมาก เราก็จะนั่งรับแดดกันที่ชุดเก้าอี้ไม้ ทำแบบนี้ประมาณ 10 กว่าวัน มันเป็นวิถีชีวิตไปแล้ว เลยกลายเป็นว่าเราชอบนั่งเอาต์ดอร์อาบแดด” กานต์เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่อยากทำเฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์
จากแดดเอเวอร์เรสต์สู่แดดเมืองไทย
แม้ไอเดียนี้จะตั้งต้นเมื่อปี 2565 แต่ด้วยภาระหน้าที่จึงถูกพับเก็บไว้ถึง 2 ปี และทั้งคู่ได้เริ่มก่อร่างสร้างสรรค์แบรนด์ Qanarn ด้วยกันอย่างจริงจังในปี 2567
“ตอนนั้นเราคุยกันว่า ถ้ามีโอกาสอยากทำงานออกแบบร่วมกัน แต่พอกลับมาไทย ต่างคนก็ต่างไปทำงาน ความฝันค่อยๆ เลือนหายไป จนกระทั่งปี 2567 เราได้กลับมาดูรูปที่เราไปเอเวอเรสต์ด้วยกัน ความทรงจำก็รื้อฟื้นความฝันนั้นขึ้นมาอีก แล้วคิดว่ามันถึงเวลาที่เราจะได้ทำอะไรร่วมกัน ด้วยพื้นฐานเราเป็นอินทีเรียดีไซเนอร์ ถ้าจะออกโปรดักต์อะไรที่มันใกล้เคียงฟิลด์ของเรามากที่สุด มันก็คือเฟอร์นิเจอร์” ขนุนกล่าว
อย่างไรก็ตามบนเอเวอเรสต์ การนั่งอาบแสงแดดอุ่นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อต่อชีวิตมนุษย์ แต่สำหรับประเทศไทย เมืองร้อนแดดจ้าที่พระอาทิตย์แผดเผาเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วการมีอยู่ของเฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ที่สวยงามและคุณภาพดี จะดึงดูดให้คนอยากออกมาเสียเหงื่อนอกบ้านได้หรือไม่ นี่อาจเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในหัวหลายคน
ทว่าหากสังเกตความเป็นไปในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ จะเห็นว่า กลุ่มคนรักการใช้ชีวิตนอกบ้านมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งคาเฟ่ ร้านหนังสือ และถนนสายเล็กในย่านเก่าแก่ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ปรับตัวอยู่กับอากาศร้อนได้ดี
“หลังผ่านช่วงโควิดมา ผู้คนใช้ชีวิตนอกบ้านกันมากขึ้น ที่เราออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้ดูป็อป ก็เพื่อให้คนเห็นเฟอร์นิเจอร์แล้วอยากออกมานอกบ้าน หรือทำกิจกรรมเอาต์ดอร์กันมากขึ้น” ขนุนกล่าว
ในขณะที่กานต์เสริมว่า อยากให้เฟอร์นิเจอร์ของ Qanarn ไปอยู่ในทุกกิจกรรมนอกบ้าน อาจช่วยให้บรรยากาศดูสนุกขึ้น “เราอยากให้เฟอร์นิเจอร์ขนานเข้าไปอยู่ในกิจกรรมแอ็กทีฟ เช่น เอาไปตั้งเป็นเก้าอี้ริมสนามเทนนิส ข้างลู่วิ่ง หรือริมสระน้ำ”
หมอนขิด: สามเหลี่ยมในเฟอร์นิเจอร์แบบไทยร่วมสมัย
ด้วยปูมหลังของขนุนกับกานต์ที่ได้ซึมซับความไทยร่วมสมัยจากสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย เป็นเหตุผลให้ทั้งคู่อยากใส่ความเป็นไทยลงในเก้าอี้เอาต์ดอร์คอลเลกชันแรก
เฟอร์นิเจอร์คอลเลกชัน Qidi Outdoor ได้รับแรงบันดาลใจจากคำว่า ขิด ของหมอนขิด หมอนอิงรูปทรงสามเหลี่ยมปักลวดลายแบบไทยที่มีเกือบทุกบ้าน จากโจทย์ในการออกแบบ Cultural Geometry รูปทรงสามเหลี่ยมของหมอนขิดถูกทอนลงมาเป็นพนักพิงของเก้าอี้ในคอลเลกชันนี้
“โจทย์แรกของเราคือ อยากพัฒนาอะไรสักอย่างในวัฒนธรรมไทย ให้เรียบง่ายขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ไว้ ส่วนกานต์ก็เติมพาร์ตเรขาคณิตเข้าไป เพื่อให้ดูสนุกขึ้น”
เมื่อถามว่าทำไมต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์รูปทรงเรขาคณิต กานต์อธิบายว่า นี่เป็นสไตล์การออกแบบที่เขาชื่นชอบ เพราะรูปทรงเรขาคณิตมีความป็อปในตัวเอง
“เราพยายามที่จะหารูปทรงเรขาคณิตที่มันอยู่ในวัฒนธรรมไทย หรือชีวิตประจำวัน แล้วเราก็ไปมองหมอนขิด ซึ่งหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี ซึ่งฟังก์ชันเดิมคือใช้พิงนั่ง เราก็เลยลองจับมันขึ้นมาให้มันเข้ากับสรีระของคน เพื่อให้นั่งสบายจริงๆ” กานต์กล่าว
โดยรวมแล้ว Qidi Outdoor คือเฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ที่ดึงเอารูปทรงสามเหลี่ยมของหมอนขิดในวัฒนธรรมไทยมาออกแบบ ให้ทั้งเรียบง่ายและสะดุดตา ประกอบด้วยเก้าอี้เลานจ์ โซฟาตัวยาว ไซด์เทเบิลหรือโต๊ะเล็กข้างๆ และโต๊ะกาแฟกลมซึ่งวัสดุของ Qidi Outdoor คืออลูมิเนียมพ่นด้วยสีPowder Coating มีทั้งหมด 6 สี คือ สีขาว สีเบส สีดำ สีส้ม สีเขียว และสีเหลือง
“เราเลือกวางเฟอร์นิเจอร์ของเราไว้ที่ Gump อารีย์ เพราะเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีสันและความสนุก และที่ Velaa หลังสวน ที่เรียบหรู เราจะวางสีขาวดำ เราทำสีให้มันอยู่ได้ทั้งสองที่แม้จะต่างกัน” กานต์กล่าว
ขนุนเล่าว่า สิ่งที่แบรนด์อยากนำเสนอก็คือ ความย้อนแย้งที่ไปด้วยกันได้ ทั้งความไทยแต่ร่วมใหม่ ความป็อปแต่เรียบง่าย ดั่งเส้นขนาน 2 เส้นที่แตกต่างแต่เดินทางไปพร้อมกันได้ ซึ่งกลายมาเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ Qanarn จากคำว่า ‘ขนาน’ ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ออกมาอย่างชัดเจน
“ถ้ามองครั้งแรก เราอยากให้คนรู้สึกว่าสนุก แต่พอรู้ที่มาแล้วจะเกิดความเชื่อมโยงทางอารมณ์ เช่น รู้สึกเหมือนหมอนของอาม่า เพราะหลายบ้านมีหมอนขิดอยู่แล้ว มันจะความรู้สึกอีกแบบหนึ่งเลย เฟอร์นิเจอร์มีความย้อนแย้ง และมันตรงตามชื่อแบรนด์ที่ขนานกันระหว่างกาลเวลา วัฒนธรรม งานออกแบบสมัยใหม่ ความสนุก ความเรียบง่าย ขนานกันระหว่างสิ่งที่มันไม่เหมือนกัน แต่มันอยู่ด้วยกันได้” ขนุนกล่าว
เช่นเดียวกับกานต์ที่กล่าวว่า
“แบรนด์เราคือการจับคู่ 2 อย่างที่อยู่คนละขั้วกัน เรามองว่าเหมือนทุกอย่างมันมีเส้นขนานเป็นของตัวเอง อยู่ที่ว่าเราจะหยิบจับตรงไหนมาใช้ในพื้นที่ของเรา แล้วเรามองไปถึงการใช้ชีวิตด้วย หลายคนอาจไม่ได้ชอบนั่งเอาต์ดอร์ แต่สุดท้ายเราบีบให้เส้นขนานมันใกล้ขึ้นได้ แล้วก็ลองใช้ชีวิตในอีกแบบหนึ่งดูก็ได้”
หาเส้นขนานของตัวเองให้เจอ
ชื่อแบรนด์ Qanarn ไม่ได้สื่อถึงแค่ตัวเฟอร์นิเจอร์อย่างเดียวเท่านั้น เพราะตัวตนของ Co-founder 2 คน แม้จะเป็นเพื่อนกันมานาน แต่ความจริงแล้วทั้งคู่มีรสนิยมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ขนุนกล่าวถึงเพื่อนสนิทว่า กานต์เป็นคนชอบงานออกแบบที่ดูสนุก มีความป็อป มีสีสัน และรูปทรงแปลกตา ในขณะที่ตัวขนุนเองชอบงานที่ดูมินิมอลหรือเรียบง่าย การทำงานร่วมกันจึงเป็นการพยายามหาจุดกึ่งกลางให้กับความชอบของทั้ง 2 คน
“มันก็มีจุดที่เรายอมได้ แต่ขนุนไม่ยอม เราก็หาจุดตรงกลาง อย่างตัวพนักพิงสามเหลี่ยม ตอนแรกก็คุยกันว่าจะมีหรือจะตัดทิ้ง” กานต์เล่า
“เราชอบเรียบๆ ตอนแรกเราก็บอกกานต์ว่า สามเหลี่ยมมันเยอะไป แต่กานต์บอกว่าจำเป็นจริงๆ มันต้องมี จุดนี้ถ้าจะเอาจริงๆ เราก็ต้องยอม แล้วเราก็ปรับขนาดให้เล็กลงหรือดูเรียบขึ้นแทน” ขนุนเสริม
ทั้งนี้ขนุนยังเล่าถึงความคาดหวังในเฟอร์นิเจอร์ของเขาว่า อยากให้เป็นชิ้นงานที่ใครเห็นก็จดจำได้
“เราอยากให้ไปที่ไหน ก็เห็นสามเหลี่ยมของเรากระจายอยู่ในทุกพื้นที่ เป็นเหมือนระเบิดสามเหลี่ยม นี่คือหนึ่งในโจทย์ของเรา อยากให้มันเป็นไอคอนิก แม้คนยังไม่ต้องรู้ว่าเป็นแบรนด์เรา ก็ขอให้เรียกว่า เก้าอี้สามเหลี่ยม เห็นแล้วจำได้ วันหนึ่งถ้าไปอยู่ในต่างประเทศ อยากให้เห็นแล้วรู้เลยว่าอันนี้เฟอร์นิเจอร์ของไทย” ขนุนพูด
ด้านกานต์ก็เสริมถึงแผนในอนาคตที่ยังคิดเอาไว้คร่าวๆ คือการร่วมพัฒนาเฟอร์นิเจอร์กับท้องถิ่นต่างๆ ในไทย
อย่างไรก็ตามแบรนด์ Qanarn มีอายุประมาณ 1 ปีเท่านั้น และกานต์กับขนุนที่อายุ 26 ปี ถือว่าเป็นเริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งคู่แบ่งปันว่าแม้จะเริ่มต้นเร็ว แต่ตอนนี้ก็เป็นการก้าวไปทีละขั้น
“เราคุยกันว่ามันถึงเวลาที่เราต้องเริ่มแล้ว เพราะถ้าเราอายุ 30 ปี ก็จะมีเป้าหมายอีกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วเรากลัวว่าถ้ายังไม่เริ่มตอนนี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตอนไหนแล้ว” กานต์แบ่งปันแนวคิด
รวมถึงขนุนได้ทิ้งท้ายว่า เขาโชคดีที่มีพาร์ตเนอร์ดี
“เราว่าต้องหาเส้นขนานของตัวเองให้เจอ คือหาพาร์ตเนอร์หรือคนที่มีความฝันร่วมกัน แล้วเราจะทำมันได้ง่ายขึ้น ถ้าเป็นเราคนเดียว อาจจะยังไม่ได้เริ่มในตอนนี้ก็ได้ จริงๆ มันแค่ต้องเริ่มก้าวแรก พอเราก้าวแล้ว ก้าวถัดไปก็จะค่อยๆ ปรากฏ เหมือนการขึ้นบันได เราไม่เห็นขั้นไกลๆ แต่ก็มองเห็นขั้นตรงหน้า พอขึ้นทีละขั้น เราก็ได้ลุ้นเสมอว่าขั้นต่อไปจะพาเราไปเจออะไร”