โลกยังนอนหนุนทุ่นระเบิดนิวเคลียร์
ครบ 80 ปี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับ การรำลึกเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณู หรือระเบิดนิวเคลียร์ เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเกิดขึ้นในงวันที่ 6 และวันที่ 9 สิงหาคม 1945 (พ.ศ. 2488) ก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา
ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 80 ปีที่แล้วนั้น นครฮิโรชิมา กลายเป็นเมืองแรกของโลก ที่ถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู ระเบิดที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดในโลกของยุคนั้น โดยกองทัพสหรัฐฯ ที่ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ “บี-29” ที่ชื่อว่า “อีโนลาเกย์” บรรทุก “เจ้าเปี๊ยก” หรือ “ลิตเติลบอย” ไปทิ้งบอมบ์เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945
ทันทีที่ระเบิดทำงานล้างผลาญชีวิตผู้คนไม่น้อยกว่า 70,000 คน ก่อนที่กัมมันตภาพรังสีจากแร่ยูเรเนียม ที่ใช้ทำระเบิดปรมาณู ปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ชาวเมืองล้มป่วยแล้วเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในเวลาต่อมา โดยนับถึงสิ้นปี 1945 ก็มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นไปอีกกว่า 70,000 คน รวมเป็นกว่า 140,000 คน และหลังจากนั้น ก็ยังผู้ป่วยและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากผลพวงของกัมมันภาพรังสีจากระเบิดปรมาณูอีกเป็นจำนวนมาก
ถัดจากนั้นในวันที่ 9 สิงหาคม หรืออีก 3 วันต่อมา เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบบี-29 “อีโนลา เกย์” ก็นำเจ้า “ชายอ้วน” หรือ “แฟตแมน” อันชื่อระเบิดปรมาณูลูกที่สอง ไปทิ้งบอมบ์ “เมืองนางาซากิ” ของญี่ปุ่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยจากพิษของกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดอีกจำนวนนับแสนคนเช่นกัน และถือว่า เมืองนางาซากิ เป็นนครแห่งที่สอง และแห่งสุดท้ายที่ถูกระเบิดปรมาณูโจมตีโดยกองทัพสหรัฐฯ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลง เพราะทางการญี่ปุ่น ประกาศยอมแพ้สงครามในวันที่ 15 สิงหาคม หรืออีก 6 วันต่อมา
อย่างไรก็ดี แม้สิ้นเสียงกัมปนาท และสิ้นควันระเบิดไปแล้ว แต่ผลกระทบที่ตามมา ก็ต้องบอกมีอย่างใหญ่หลวง แม้กระทั่ง “ผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู” ที่มีชีวิตยืนยาวมาถึง ณ ปัจจุบันด้วยก็ตาม โดยผู้รอดชีวิตเหล่านี้ ถูกเรียกว่า “ฮิบาคุชะ” พร้อมกับถูกตั้งข้อรังเกียจจากสังคมในญี่ปุ่นว่า อาจเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม และส่งต่อความผิดปกติทางพันธุกรรมมายังลูกหลานของพวกเขาด้วย
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงจำนวนผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็น “ฮิบาคุชะ” ก็ต้องถือว่า ปี 2025 (พ.ศ. 2568) นี้ เป็นปีแรกที่มีเหลืออยู่ในญี่ปุ่นไม่ถึง 100,000 คน
สาเหตุปัจจัยที่ทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจทิ้งระเบิดปรมาณูในพื้นที่ยุทธบริเวณดังกล่าว เพราะเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการทางทหารและการส่งกำลังบำรุงให้แก่กองทัพญี่ปุ่น ในช่วงมหายุทธ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ดังกล่าว
ปัจจุบันทั้งสองเมือง ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกโจมตีด้วยระเบิดมหาประลัยที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงที่สุดในครั้งกระนั้น และมีการจัดงานรำลึกเป็นประจำทุกปี โดยมีแขกเหรื่อผู้มีเกียรติจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
ส่วนงานรำลึกในปีนี้ ดูจะพิเศษกว่าปีก่อนๆ เพราะครบ 80 ปีพอดี ก็ยิ่งคับคั่งกว่าปีไหนๆ โดยมีคณะผู้แทนจากชาติต่างๆ กว่า 120 ประเทศและดินแดนทั่วโลกเข้าร่วม ซึ่งงานมีขึ้นที่ “อุทยานอนุสรณ์สถานสันติภาพ”
พอถึงเวลา 08.15 น. อันเป็นเวลาที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบิน ผู้เข้าร่วมงานก็ได้พากันยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแด่เหยื่อระเบิด
จากนั้น บรรดาประชาชนชาวญี่ปุ่น จำนวนหลายพันคน ต่างพากันสวดมนต์ ในพิธีรำลึกดังกล่าว ท่ามกลางบรรยากาศเป็นไปอย่างเศร้าสลด
ภายในงานก็ยกให้เป็นหน้าที่ของนายกเล็กแห่งเมืองฮิโรชิมา คือ นายคาซุมิ มัตซุอิ นายกเทศมนตรีนครฮิโรชิมา ขึ้นกล่าว ร่วมกับนายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
โดยนายกรัฐมนตรีอิชิบะ กล่าวถึงความยึดมั่นในหลักการ 3 ข้อของข้อห้ามญี่ปุ่น ได้แก่ ห้ามครอบครอง และห้ามการผลิต ตลอดจนห้ามอนุญาตให้มีอาวุธนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น
ขณะที่ นายกเทศมนตรีมัตซุอิ ได้ออกมาวิงวอนให้ผู้นำทั่วโลกได้ตระหนัก ได้ดูบทเรียน และผลลัพธ์ที่เสียหายอย่างร้ายแรงในญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง จากการถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู หรือระเบิดนิวเคลียร์ เมื่อ 8 ทศวรรษก่อน ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลก ณ เวลานี้ กลับเข้าแข่งสะสมแสนยานุภาพทางอาวุธนิวเคลียร์
นอกจากนี้ นางเมลิสซา พาร์ก ผอ.องค์การรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ หรือไอซีเอเอ็น องค์กรที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2017 (พ.ศ. 2560) ซึ่งได้เข้าร่วมงานรำลึกครบรอบ 80 ปีดังกล่าวด้วย ก็เรียกร้องให้นานาชาติร่วมกันผลักดันให้เกิดการรับรองสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมกับวิงวอนผู้นำประเทศต่างๆ ทั่วโลก ตระหนักถึงอันตรายของระเบิดมหาประลัยชนิดนี้
ทว่า ดูเหมือนเสียงเพรียกเตือนข้างต้น เป็นเพียงวาทะลอยลม ที่เหล่าผู้นำชาติมหาอำนาจ ซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอบไม่ได้ยินและตระหนัก เมื่อปรากฏว่า ทั้งประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ออกมาประกาศถึงการยุติการระงับการพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยใกล้และพิสัยกลาง คือ กลับมาเดินหน้าพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์ทั้งสองพิสัยข้างต้น ซึ่งไม่ผิดอะไรกับการตอบโต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่สั่งเคลื่อนพลเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 2 ลำ โดยมีนัยว่า เพื่อโต้ตอบต่อนายดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย และรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย จากกรณีที่นายเมดเวเดฟ แสดงความไม่พอใจที่ประธานาธิบดีทรัมป์ มาขีดเส้นตายเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน เมื่อไม่กี่วันก่อน