ชาวอเมริกันหลายล้านคนพร้อมใจ ‘ไม่จ่าย’ หนี้การศึกษา หลังรัฐบาลกลับมาทวงหนี้อีกครั้ง อ้างใช้ยังชีพสำคัญกว่า
หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยุติมาตรการผ่อนปรนหนี้การศึกษาที่ใช้มานาน 5 ปี และกลับมาบังคับให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้อีกครั้ง กลับเกิดปรากฏการณ์ที่ชาวอเมริกันหลายล้านคนพร้อมใจกัน ‘ไม่จ่าย’ หนี้ดังกล่าว โดยข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ณ เดือนเมษายนประเมินว่า มีผู้กู้ยืมเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่ชำระหนี้ตามกำหนด
สตีเฟน จาคูบาวสกี วัย 32 ปี คือหนึ่งในคนเหล่านั้น เขามีหนี้รัฐบาลอยู่ 10,000 ดอลลาร์ (ราว 3.23 แสนบาท) จากการเรียนในวิทยาลัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ตอนนี้เขากำลังว่างงานและมีเงินแทบไม่พอจ่ายค่าเช่าและของใช้จำเป็น หนี้การศึกษาจึงกลายเป็นสิ่งที่เขาเพิกเฉยและมองว่ามัน ‘อยู่ท้ายสุดของความสำคัญ’
เหตุผลที่คนจำนวนมากไม่ชำระหนี้มีหลากหลาย สำหรับบางคน มันคือการจัดลำดับความสำคัญทางการเงิน เมื่อต้องเลือกระหว่างค่าที่อยู่อาศัยกับหนี้การศึกษา พวกเขาก็เลือกสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตก่อน ส่วนคนอื่นๆ เลือกที่จะไม่จ่ายเพื่อเป็น ‘การประท้วงรูปแบบหนึ่ง’ หลังจากที่แผนการยกหนี้ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถูกคัดค้านทางกฎหมายจนล้มเหลวไป
ซาราห์ นิวคอมบ์ นักวิทยาศาสตร์อาวุโสด้านพฤติกรรมจาก Edward Jones วิเคราะห์ว่า “เป็นไปได้ว่าผลที่จะตามมานั้นดู ‘ไกลตัวเกินไป’ ที่จะกระตุ้นให้คนจ่ายหนี้” เธอเสริมว่าความรู้สึกว่าระบบไม่ยุติธรรมอาจนำไปสู่ “การทำลายอนาคตทางการเงินตัวเอง” ได้
ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีสำหรับผู้ไม่ชำระหนี้คือการถูกลดคะแนนความน่าเชื่อถือทางเครดิต (Credit Score) โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์กประเมินว่ามีผู้กู้ยืมราว 2.2 ล้านคนที่คะแนนเครดิตลดลงอย่างน้อย 100 จุด แต่สำหรับ คาเมรอน เดวิส คนขับรถ Uber ในไมอามี ซึ่งคะแนนเครดิตของเขาลดลงถึง 180 จุด กลับไม่รู้สึกกังวลเพราะเขาและภรรยาไม่ได้มีแผนจะซื้อบ้านในอนาคต
“ถ้าผมต้องเลือกระหว่างจ่ายค่าเช่ากับจ่ายหนี้การศึกษา ผมก็จะไม่จ่ายหนี้การศึกษา” เดวิสกล่าว เขาและภรรยามีหนี้การศึกษารวมกันประมาณ 60,000 ดอลลาร์ (ราว 1.94 ล้านบาท) แต่ด้วยรายได้จากการขับรถที่ต้องเลี้ยงดูภรรยาและลูกอีกสองคน ทำให้เขาไม่สามารถจ่ายหนี้เดือนละ 800 ดอลลาร์ (ราว 25,864 บาท) ได้
ผลกระทบในระยะยาวคือการถูกอายัดค่าจ้าง (Wage Garnishment) สูงสุด 15% ของเงินเดือนหลังหักภาษี แต่กระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรืออาจถึงปี 2026 สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มผิดนัดชำระหนี้ ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มคนทำงานอิสระและ Gig Worker อย่างเดวิส หรือ ไทเลอร์ สครักส์ ฟรีแลนซ์ในวงการภาพยนตร์ ก็อาจไม่ได้รับผลกระทบเลยหากรัฐบาลไม่สามารถตามเจอตัวนายจ้างได้
ไทเลอร์ สครักส์ วัย 30 ปี ซึ่งมีหนี้ประมาณ 20,000 ดอลลาร์ (ราว 6.47 แสนบาท) กล่าวว่าเขาไม่เคยเช็คคะแนนเครดิตของตัวเองและไม่คิดจะจ่ายหนี้ “มันมีภาระทางการเงินอื่นที่เร่งด่วนกว่า” เขากล่าว “นี่คือการประท้วงรูปแบบหนึ่ง ผมเชื่อว่าหนี้การศึกษาทั้งหมดควรถูกยกเลิก”
ด้านรัฐบาลทรัมป์ได้แสดงท่าทีที่แข็งกร้าว โดย ลินดา แมคแมน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเมื่อเดือนเมษายนว่า “ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันจะไม่ถูกบังคับให้มาเป็นหลักประกันสำหรับนโยบายสินเชื่อเพื่อการศึกษาที่ไร้ความรับผิดชอบอีกต่อไป”
วิกฤตครั้งนี้สะท้อนภาพปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งผสมผสานระหว่างความเดือดร้อนทางการเงิน การประท้วงทางการเมือง และความรู้สึกแปลกแยกจากหนี้สิน ท่ามกลางยอดหนี้การศึกษารวมทั่วประเทศที่สูงถึง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 51.73 ล้านล้านบาท) ซึ่งยังคงเป็น ‘วิกฤตหนี้สินครั้งใหม่’ ที่รอวันหาทางออก
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.33 บาท ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2568
ภาพ: Howard Weiss / Shutterstock
อ้างอิง: