“ฮ่องกง” ออก กฎหมาย Stablecoin เปิดทางสู่หยวนดิจิทัล จีนเล็งใช้ท้าทายดอลลาร์
กฎหมาย Stablecoin ฉบับใหม่ของฮ่องกง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ส.ค. เปิดโอกาสพัฒนา Stablecoin ที่อิงเงินหยวนในต่างประเทศ ขณะนักวิเคราะห์ชี้จีนใช้ฮ่องกงเป็นสนามทดลอง แม้ยังเผชิญข้อจำกัดจากการคุมเข้มเงินทุนและท่าทีที่ขัดแย้งกันต่อคริปโตฯ
วันที่ 1 กันยายน 2568 เวลา 10.10 น. สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า กฎหมาย Stablecoin ฉบับใหม่ของฮ่องกงอาจเป็นก้าวแรกของจีนในการท้าทายอำนาจครองตลาดคริปโตเคอเรนซีที่อยู่ภายใต้การครอบงำของดอลลาร์สหรัฐ แม้ท่าทีที่ขัดแย้งกันของปักกิ่งต่อสินทรัพย์ดิจิทัลจะสะท้อนว่าหนทางยังอีกยาวไกล
กฎหมาย Stablecoins Ordinance ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ส.ค. กำหนดให้ออกใบอนุญาตแก่ผู้ออก Stablecoin ที่ถูกระบุโดยหน่วยงานการเงินฮ่องกง (HKMA) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนธนาคารกลางของเมือง กฎหมายไม่ได้ห้าม Stablecoin ที่อิงกับเงินสกุลจริง (fiat-backed) จึงเปิดโอกาสให้เกิดเหรียญ Stablecoin ที่อิงกับเงินหยวนในต่างประเทศได้
แดน หวัง ผู้อำนวยการ Eurasia Group ประจำจีน ระบุว่า “นี่คือการทดสอบของจีนเพื่อตอบสนองตลาด Stablecoin ที่ครองโดยดอลลาร์ โดยใช้ฮ่องกงเป็นโครงการนำร่อง หากทำได้ตามเป้าเหรียญ Stablecoin ที่อิงกับเงินหยวนอาจเชื่อมโยงไปถึงสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ในอนาคต”
ฮ่องกงถือเป็นศูนย์กลางการถือครองเงินหยวนในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด มูลค่าถือครองราว 3 ล้านล้านหยวน หรือราว 419,000 ล้านดอลลาร์ และยังเป็นช่องทางหลักของการลงทุนออกนอกประเทศของจีน ผ่านตลาด IPO ที่ฟื้นตัวและกระแสเงินทุนไหลเข้าจากโครงการ Stock Connect ระหว่างจีนกับตลาดโลก
ทั้งปักกิ่งและฮ่องกงกำลังผลักดันเมืองนี้เป็นฮับคริปโตระดับภูมิภาค ความเร่งด่วนยิ่งเพิ่มขึ้นหลังสหรัฐผ่านกฎหมาย GENIUS Act ที่กำหนดกรอบกำกับ Stablecoin และย้ำบทบาทของดอลลาร์ในสินทรัพย์ดิจิทัล
อย่างไรก็ดี จีน ซึ่งห้ามธุรกรรมคริปโตทุกประเภท ยังคงเผชิญทางสองแพร่งระหว่างการผลักดันหยวนสู่เวทีโลก กับการคุมเข้มระบบการเงินในประเทศ โดยเฉพาะมาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย
ความตึงเครียดปรากฏเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเจ้าหน้าที่จีนหลายคนที่มีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุม Bitcoin Asia ที่ฮ่องกง ถอนตัวกะทันหัน หลังได้รับคำแนะนำไม่ให้ร่วมเวทีกับ เอริก ทรัมป์ ลูกชายประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับเชิญเป็นวิทยากรด้วย
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์อย่างระมัดระวังเมื่อถูกถามว่าเรื่อง Bitcoin จะถูกหยิบยกในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนหรือไม่ โดยตอบว่า “อาจเป็นสิ่งที่สองประเทศเข้าใจกันดีกว่าคนอื่น” และยังกล่าวกับ Nikkei Asia ว่า มีความต้องการ Stablecoin ที่อิงดอลลาร์สูงทั่วโลก พร้อมยกย่องจีนกับสหรัฐว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้
ด้านธนาคารกลางจีน (PBOC) ก็ส่งสัญญาณระมัดระวัง ผู้ว่าการ พาน กงเชิง กล่าวที่เวที Lujiazui Forum เมื่อเดือนมิถุนายนว่า แม้ Stablecoin และ CBDC จะช่วยด้านการชำระเงินข้ามพรมแดน แต่ยังมีความท้าทายด้านกฎระเบียบ ขณะที่โจว เสี่ยวฉวน อดีตผู้ว่าการ PBOC เขียนบทความเตือนว่า Stablecoin อาจก่อความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน
HKMA เองก็สะท้อนความกังวลเช่นกัน โดย เอ็ดดี้ หยู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุในจดหมายถึงบริษัทที่หุ้นปรับขึ้นผิดปกติหลังประกาศแผนขอใบอนุญาตว่า การคาดการณ์บางอย่างอาจมองโลกในแง่ดีเกินไป และยังมีช่องว่างใหญ่ระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ
Eurasia Group ระบุว่า การอนุมัติใบอนุญาตชุดแรกจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าจีนจะควบคุมการพัฒนา Stablecoin มากน้อยเพียงใด ปัจจุบันผู้เข้าร่วมโครงการทดสอบ (sandbox) ของ HKMA มี 3 ราย ได้แก่ ฟินเทคของ JD.com, RD Technologies (ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Sequoia) และบริษัทร่วมทุนที่มี Standard Chartered, Animoca Brands และ Hong Kong Telecommunications รวมทั้ง Ant International ของเครือ Alibaba ที่ยื่นขอแล้วเช่นกัน
ยังมีผู้เล่นรายใหญ่ที่ถูกจับตามอง เช่น CITIC Group ของจีน โดย HKMA เปิดเผยว่ามีสถาบันอีกหลายสิบแห่งที่แสดงความสนใจยื่นขอใบอนุญาต โดยคาดว่าการอนุมัติชุดแรกจะออกในต้นปี 2569 และจะมีเกณฑ์เข้มงวด
แม้หาก Stablecoin สกุลหยวนเกิดขึ้นจริง การควบคุมเงินทุนเข้มงวดของจีนก็อาจจำกัดการพัฒนา โดยอาจต้องสร้างระบบวงปิดคล้าย Stock Connect แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากหวังจะแข่งขันกับดอลลาร์ในตลาด Stablecoin ระบบเช่นนี้อาจไม่เอื้อต่อการเติบโตและการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรี
สำหรับตอนนี้จีนอาจใช้ Stablecoin เป็นทางเลือกเพื่อเลี่ยงการคว่ำบาตรของสหรัฐ มากกว่าจะท้าทายดอลลาร์โดยตรง โดยเป้าหมายหลักคือการสร้างกรอบกำกับดูแลที่แข็งแรงในฮ่องกง และลดความเสี่ยงการฉ้อโกงในประเทศ ตามรายงานของ Eurasia Group
อ้างอิง : asia.nikkei.com