SMEs หวัง “กนง.” ลดดอกเบี้ยเพิ่ม กระตุ้นลงทุน-ลดภาระให้ลูกหนี้
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยถึงประเด็นที่คณะกรรมการนโยบกายการเงิน (กนง.) มติเป็นเอกฉันท์ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.255 ต่อปี จาก 1.75% เหลือ 1.50% ต่อปี ซึ่งมีผลทันที ว่า ประชาชน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) มีความคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มในรอบถัดไปด้วย ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อสภาวะเศรษฐกิจในการกระตุ้นกำลังซื้อทางหนึ่ง
รวมถึงเอื้อต่อด้านการค้าการลงทุน การจ้างงานที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ช่วยลดสภาวะการแข็งค่าของเงินบาท ช่วยลดภาระหนี้สินให้กับลูกหนี้ในภาพรวม ในขณะที่การควบคุมอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญนอกจากมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต้องดำเนินการร่วมกับรัฐบาลในรูปแบบอื่นร่วมด้วย เช่น การทบทวนพิจารณา ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ธนาคารใช้ในการคิดดอกเบี้ยเงินกู้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่ปรับเปลี่ยนตามต้นทุนของธนาคารและสภาวะเศรษฐกิจ ทั้ง MOR MRR และ MLR เพื่อส่งผลต่อการขับเคลื่อนต้นทุนทางการเงินแท้จริงของสถาบันการเงินที่เหมาะสมเป็นธรรมกับประชาชนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
รวมถึงเอื้อต่อด้านการค้าการลงทุน การจ้างงานที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ช่วยลดสภาวะการแข็งค่าของเงินบาท ช่วยลดภาระหนี้สินให้กับลูกหนี้ในภาพรวม ในขณะที่การควบคุมอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญนอกจากมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต้องดำเนินการร่วมกับรัฐบาลในรูปแบบอื่นร่วมด้วย เช่น การทบทวนพิจารณา ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ธนาคารใช้ในการคิดดอกเบี้ยเงินกู้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่ปรับเปลี่ยนตามต้นทุนของธนาคารและสภาวะเศรษฐกิจ ทั้ง MOR MRR และ MLR เพื่อส่งผลต่อการขับเคลื่อนต้นทุนทางการเงินแท้จริงของสถาบันการเงินที่เหมาะสมเป็นธรรมกับประชาชนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
การทบทวน Net Interest Margin (NIM) ของสถาบันการเงินที่เป็นธรรมมากขึ้นกับเศรษฐกิจฐานราก มาตรการการกำกับให้สถาบันการเงินดำเนินการตามกฎหมายและธรรมาภิบาล เช่น การบังคับทำประกัน การผลัก SMEs ไปใช้สินเชื่อส่วนบุคคลแทนการใช้สินเชื่อธุรกิจที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าทั้งที่ SMEs สามารถใช้ได้ การคำนวณดอกเบี้ยปรับ และ Market Conduct เป็นต้น
แก้หนี้ตอบโจทย์ ฟื้นฟูพัฒนา พาเข้าถึงแหล่งทุน การปรับกลไกแก้หนี้ทั้งระบบอย่างยั่งยืนแบบแท้จริง หน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบมีอำนาจในการกำกับ ตรวจสอบ ติดตาม พร้อมกับผู้ไกล่เกลี่ยเป็นกลางแบบเบ็ดเสร็จเพื่อให้ SMEs ที่มีเจ้าหนี้หลายรายเจรจาได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เป็นธรรมทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้
ที่สำคัญ คือ การแก้ไขหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบควบคู่กันไปด้วย พร้อมทั้งมาตรการการฟื้นฟู พัฒนา SMEs อย่างเป็นระบบ มีพี่เลี้ยง ที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลือในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจใหม่และสร้างวินัยทางการเงินที่เข้มแข็งให้กับ SMEs
การปรับเกณฑ์การพิจารณาปล่อยสินเชื่อที่ยืดหยุ่นเพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐและ บสย. ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบสถาบันการเงิน ซึ่ง SMEs กว่า 95.7% ต้องการได้รับความช่วยเหลือทางการเงินและภาระหนี้สินทางธุรกิจ ความรู้ ความเข้าใจการบริหารจัดการทางการเงิน รวมทั้งลดความซับซ้อนในการกระบวนการขอสินเชื่อ
นวัตกรรมทางการเงินเพื่อ SMEs เช่น มาตรการสินเชื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs ปลดล็อคสินเชื่อ Factoring ให้ SMEs ที่เป็น NPL และปรับโครงสร้างหนี้ได้เข้าถึงการใช้ประโยชน์เงินทุนหมุนเวียนต่อลมหายใจธุรกิจและจ้างงาน รวมทั้งเร่งส่งเสริมการจัดระดับ Credit Scoring กิจการนิติบุคคลทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการเข้าถึงแหล่งทุนให้ SMEs ได้รวดเร็ว สะดวกด้วยต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
และแก้ไขปัญหา Credit term ที่ SMEs เผชิญปัญหามาโดยตลอด และหากขยายสินเชื่อ Factoring ไปสู่ Supply chain จะทำให้ SMEs มีขีดความสามารถทางการเงินเพิ่มขึ้นตั้งแต่การนำใบสั่งซื้อมาใช้ Factoring เพื่อจัดซื้อวัตถุดิบ สินค้าต่างๆเพื่อมาประกอบธุรกิจ สภาพคล่องเพิ่มขึ้น ลดปัญหา Credit term กระแสเงินสดสำรองอีกด้วยมาตรการสถาบันการเงินของรัฐ SME Refinance ดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) จากสินเชื่อดอกเบี้ยสูงของบางสถาบันการเงินในระบบและจากนอกระบบให้เข้าสู่ระบบเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ยพร้อมเสริมสภาพคล่องเพิ่มขึ้นอีกทางด้วย
โดยสะท้อนจากการสำรวจของ สสว. Q2/2568 ที่พบว่า SMEs มีการพึ่งพาใช้สินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน 23% SMEs ที่ใช้ทั้งในระบบสถาบันการเงินและนอกระบบสถาบันการเงินสูงถึง 45.9% และ SMEs ที่ใช้สินเชื่อนอกระบบเพียงอย่างเดียว 31.1% จากปัญหาที่ SMEs ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้และหากปล่อยไป SMEs จะถูกดึงไปนอกระบบเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
“SMEs คาดหวังมากกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง คือ การแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบอย่างเร่งด่วน ที่จะช่วยพา SMEs ไทยให้อยู่ยั่งยืน ถอดกับดักหนี้เรื้อรังก่อนสายเกินแก้ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฐานรากไทยขยายความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มจำนวนกลุ่มเปราะบางในเศรษฐกิจและสังคมไทยอีกจำนวนมาก ส่งผลกระทบกับการจ้างงาน เผชิญกับดักรายได้ต่ำและขีดความสามารถของ SMEs ลดลง GDP SME จะเติบโตถ้าเริ่มจากร่วมกันทำสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมให้ประเทศไทย”