เทียบผลงานเศรษฐกิจอาเซียนครึ่งแรกปี68 ไทยโตต่ำสุด เสี่ยงตกขบวนการพัฒนา
ปี 2568 เดินทางมาถึงครึ่งปี เศรษฐกิจโลกเผชิญความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะมาตรการภาษีตอบโต้จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกดดันให้หลายประเทศต้องเร่งเจรจาและหาข้อตกลงเพื่อปรับลดภาษีส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังคงเป็นตลาดผู้บริโภคสำคัญของโลก
สำหรับไทยและประเทศในอาเซียน สถานการณ์ก็ไม่ต่างกันมากนัก โดยไทยต้องรับมือกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งมาตรการภาษีจากสหรัฐ ภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ระดับหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียที่สูง ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง ตลอดจนความท้าทายเชิงโครงสร้างและการไหลบ่าของทุนจีนที่กดดันภาคการผลิต อุปสรรคเหล่านี้อาจทำให้ไทยชะลอการพัฒนา ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนาม กลับก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้SPOTLIGHT จึงขอพาผู้อ่านมาสำรวจภาพรวมผลงานเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในอาเซียนตลอดครึ่งปีแรก ว่าใครทำได้ดี? ใครกำลังเผชิญแรงกดดัน? และประเทศไทยของเรายืนอยู่ตรงไหนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน?
ไทยโตต่ำสุดอาเซียน ครึ่งปี 68 พึ่งท่องเที่ยวพยุงเศรษฐกิจ
ครึ่งปีแรกของปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียนสะท้อนภาพที่ชัดเจนว่าไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขัน แม้ GDP ไทยจะขยายตัว 3% แต่ก็ยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งทำผลงานโดดเด่นด้วยการเติบโตถึง 7.52% ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็ยังรักษาการเติบโตได้แข็งแรงที่ 4.99% และ 5.4% ส่วนสิงคโปร์แม้จะเติบโตเพียง 4.3% แต่ยังสะท้อนเสถียรภาพของเศรษฐกิจที่มีฐานแข็งแรงและการพึ่งพาภาคบริการคุณภาพสูง
เมื่อลงลึกไปที่ไตรมาส 2/2568 พบว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตเพียง 2.8% ซึ่งต่ำกว่าทุกประเทศ สะท้อนแรงกดดันจากการบริโภคในประเทศที่อ่อนแรง การส่งออกที่ยังไม่สามารถแข่งขันได้เต็มที่ และความเปราะบางทางการลงทุน ในทางตรงกันข้าม เวียดนามยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำด้วยการเติบโต 7.96% จากแรงหนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี ขณะที่มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ก็ขยายตัวเกิน 4% ทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดึงดูดเงินลงทุนและสร้างฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่าไทย
นอกจากนี้ในภาพรวมทั้งปี การประเมินโดยธนาคารโลก (World Bank) ยังตอกย้ำความน่ากังวล โดยคาดว่า GDP ไทยทั้งปี 2568 จะขยายตัวเพียง 1.8% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนอย่างมาก ขณะที่เวียดนามคาดว่าจะโตได้ 5.8% ฟิลิปปินส์ 5.3% และอินโดนีเซีย 4.7% การคาดการณ์นี้สะท้อนให้เห็นชัดว่าไทยอาจกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันระยะยาว หากไม่สามารถเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มผลิตภาพแรงงานได้ทันเวลา
ในแง่การค้า ตัวเลขการส่งออกครึ่งปีแรกของไทยอยู่ที่ 5.5 ล้านล้านบาท แม้เป็นระดับที่สูง แต่ก็ยังตามหลังเวียดนามที่ 7.14 ล้านล้านบาท และสิงคโปร์ที่สูงถึง 9.2 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกัน อัตราภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ไทยเจรจาได้ยังอยู่ที่ 19% ซึ่งใกล้เคียงกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แต่สูงกว่าสิงคโปร์ที่ได้อัตราพื้นฐานซึ่งอยู่ที่เพียง 10% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยด้อยกว่าในเชิงโครงสร้าง และยังขาดอุตสาหกรรมใหม่ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและเชื่อมโยงเข้ากับห่วงโซ่มูลค่าโลกได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งสำคัญที่ไทยยังคงรักษาได้คือ “การท่องเที่ยว” ครึ่งปีแรกมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 16.68 ล้านคน สูงสุดในภูมิภาคและมากกว่าประเทศอื่นอย่างชัดเจน เวียดนามแม้จะมาแรงแต่ยังอยู่ที่ 10.7 ล้านคน ส่วนสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียมีตัวเลขอยู่ระหว่าง 7-8 ล้านคน การท่องเที่ยวจึงยังเป็น “กันชนหลัก” ที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยไม่ให้ทรุดลงไปมากกว่านี้ แต่ก็สะท้อนถึงความเสี่ยง เพราะหากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเผชิญปัจจัยลบ เช่น ความผันผวนทางการเมือง ภัยธรรมชาติ หรือการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน ไทยก็อาจเผชิญแรงกระแทกทางเศรษฐกิจที่รุนแรง
เวียดนามเร่งเครื่องโต 8% สู่รายได้สูงปี 2045 ไทยเสี่ยงถูกแซง
ในหมู่ประเทศอาเซียน ประเทศที่เศรษฐกิจโตได้โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นเวียดนาม ซึ่งกำลังเดินหน้าก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่อาจแซงหน้าไทยในไม่ช้า โดยล่าสุดรัฐบาลฮานอยเพิ่งประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่า 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10% ของ GDP ครอบคลุมกว่า 250 โครงการทั่วประเทศ มูลค่ารวมกว่า 1.28 ล้านพันล้านดอง เป้าหมายคือผลักดันเศรษฐกิจให้โต 8% ในปี 2568 และรักษาโมเมนตัมการเติบโตเลขสองหลักในระยะยาว พร้อมตั้งเป้าเปลี่ยนประเทศให้เป็น “เสือเศรษฐกิจ” ตัวใหม่ของเอเชีย และก้าวสู่ประเทศรายได้สูงภายในปี 2588
แผนดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอก เวียดนามที่เคยพึ่งพาการส่งออกและ FDI เป็นหลัก กำลังเผชิญผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้ความเปราะบางทางเศรษฐกิจเด่นชัดขึ้น เวียดนามจึงเลือกใช้ “การอัดฉีดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน” เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างอุปสงค์ในประเทศและลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
ปลายปี 2567 โต เลิมเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์คนใหม่ ประกาศเปิด “ยุคใหม่แห่งการพัฒนา” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยวางเป้าหมายเดินตามรอยเกาหลีใต้และไต้หวัน ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจในเอเชียได้สำเร็จ
ความก้าวหน้าของเวียดนามสะท้อนผ่านรายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากเพียง 1,200 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2533 สู่กว่า 16,385 ดอลลาร์ในปัจจุบัน (ปี 2568) จากการที่ประเทศกลายเป็นฐานการผลิตระดับโลก ทว่าโมเดล “แรงงานต้นทุนต่ำ-การส่งออกนำ” ที่เคยเป็นเครื่องจักรหลักของเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ทำให้รัฐบาลต้องเร่งเปลี่ยนทิศทางไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด และการขยายบทบาทภาคเอกชน
ตรงกันข้าม ไทยกลับเผชิญการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง นาย นณริฏ พิศลยบุตร นักวิจัยอาวุโสจาก TDRI เตือนว่านี่คือ “สัญญาณอันตราย” เพราะไทยเคยตั้งเป้าจะบรรลุสถานะประเทศรายได้สูงในปี 2579 แต่หลังโควิด-19 ศักยภาพการเติบโตกลับลดเหลือเพียง 2.7-3.0% ต่อปี ทำให้เส้นทางสู่รายได้สูงต้องเลื่อนออกไปถึงปี พ.ศ. 2631-2636 ช้ากว่าเป้าหมายเดิมถึง 7-12 ปี และอาจไปถึงเป้าไล่เลี่ยกับเวียดนาม ทั้งที่ไทยเริ่มก่อนหลายสิบปี
เขาอธิบายว่า เวียดนามใช้การปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบและอิงข้อมูลจริง เช่น การปรับลดขนาดระบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะที่ไทยกลับวนเวียนกับโครงการประชานิยมระยะสั้น เช่น การเสรีกัญชา คาสิโน การปลดล็อกแอลกอฮอล์ และโครงการแลนด์บริดจ์ที่ถูกวิจัยวิจารณ์ว่าไม่คุ้มค่า หากไทยไม่เร่งปฏิรูป โอกาสแข่งขันในตลาดโลกจะลดลงเรื่อย ๆ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เห็นว่า เวียดนามใช้โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของกฎการค้าโลกและภาษีสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการลดความซ้ำซ้อนในระบบราชการและมุ่งพึ่งพาตนเอง เขาเตือนว่า หากเวียดนามก้าวไปได้ก่อน ไทยจะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ เพราะตอนนี้เวียดนามมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตัวเลขการส่งออก และศักยภาพแรงงานที่เหนือกว่าแล้ว
นาย พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่า เวียดนามใช้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นกลยุทธ์สำคัญดึงดูดการลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ ปรับโครงสร้างภาษีการค้า เขายอมรับว่าไทยยังมีจุดแข็ง ทั้งการเป็นศูนย์กลาง CLMV ทำเลเชื่อมสองมหาสมุทร และห่วงโซ่อุตสาหกรรมครบวงจร แต่ปัญหาคือการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น รถไฟความเร็วสูง ยังล่าช้าและขาดการเชื่อมโยงกับสนามบิน นอกจากนี้ ความไม่ชัดเจนของนโยบายรัฐยังสร้างความลังเลให้กับนักลงทุน
ด้าน นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ (NESDC) มองในแง่บวกมากกว่า โดยยืนยันว่าไทยยังมีความได้เปรียบ เพราะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวที่ดำเนินมาต่อเนื่องหลายทศวรรษ ครอบคลุมทั้งระบบคมนาคม พลังงาน และการจัดการน้ำ ทำให้ไทยมีความพร้อมกว่าเวียดนามในหลายด้าน อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าความท้าทายใหม่คือแรงกดดันจากนักลงทุน โดยเฉพาะในเขต EEC ที่ต้องการพลังงานสะอาด (RE100) มากขึ้น แม้ไทยจะมีไฟฟ้าสำรองเพียงพอ แต่หากไม่เร่งปรับระบบให้ตอบสนองความต้องการด้านพลังงานหมุนเวียน อาจสูญเสียความได้เปรียบในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ