'บิ๊กเต่า' เปิดใจ เป็นตัวแทนตร. กระตุกผบช.ให้ความเป็นธรรมแต่งตั้ง
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เรื่องการพิจารณาแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่ง และโยกย้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนข้าราชการตำรวจปี 68 ว่า จากการที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ชุดเล็ก
ทำให้เราทราบว่า มีการพิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพ.ร.บ.ตำรวจ 2565 ในหมวดของความรู้ความสามารถ และลำดับอาวุโส และเราเห็นว่าคนที่ได้ และมาเปรียบเทียบกับอีกหลายคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยังไม่มีความเหมาะสม ทำให้มีผู้เสียสิทธิ์จำนวน และคนเหล่านั้นได้มาพบตน ในฐานะที่ดูแลเรื่องทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งมาขอคำปรึกษา โอดครวญว่าจะทำยังไงให้กฎหมายเป็นกฎหมาย
ฉะนั้น ตนก็รับเป็นหน้าเสื่อ ในร้องขอความเป็นธรรม ที่ ก.ตร.ไปตัดหลักเกณฑ์การพิจารณาของผู้การฯ จาก 2 ปี เป็น 3-4 ปี ทำให้เป็นการตัดสิทธิ์ของผู้ที่ควรจะขึ้น ซึ่งมองว่า ทำให้ตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรม และส่งผลถึงการปฎิบัติหน้าที่ ที่คุณตั้งใจทำงานกลับถูกตัดสิทธิ์ ทำให้ผลงานที่ออกมาอาจจะดีหรือไม่ดี แบบเช้าชามเย็นชาม
อีกทั้ง สิ่งที่ตนเองเขียนไป เพราะอยากขอความเป็นธรรมจาก ก.ตร. ชุดใหญ่ รวมถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการนายกรัฐมนตรี โปรดพิจารณาเจ้าหน้าที่ทุกนายที่หลักเกณฑ์ครบ ให้ได้พิสูจน์ตามข้อมูลหลักฐานที่ได้ส่งไป โดย พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 มีการเปลี่ยน หลักเกณฑ์หลังมีการลงความเห็นในที่ประชุมเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ให้สำรวจข้อมูลในการแต่งตั้ง และแบบฟอร์มของผู้มีสิทธิ์ไปทำรายละเอียด รายละเอียดผลงานรวบรวมเป็นรูปเล่ม ทำให้มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
แต่ในวันที่ 29 กรกฎาคมนั้น กลับมีหนังสือออกจากสำนักตำรวจแห่งชาติ ให้ชะลอหนังสือของ ผบ.ตร. ถึงการประเมินผลงาน และไม่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว จนทำให้ตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้ง เราไม่รู้ว่ามีความสามารถยังไง
พร้อมยกตัวอย่างกรณีของ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบช.น. ที่อยู่ในตำแหน่งมา 3 ปี แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณา ทั้งที่มีความสามารถ และมีผลงาน จึงอยากขอให้ความเป็นธรรมกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ทุกคนทำงานก็หวังความเจริญก้าวหน้า ในชีวิตเพื่อขวัญ และกำลังใจในการปฏิบัติ แต่ในเมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความเป็นธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้ และผู้บังคับบัญชาจะเอาความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนได้อย่างไร
ฉะนั้นจะต้องพิจารณาในด้านคุณธรรมให้เป็นธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนให้ได้รับความเสมอภาค เพราะหากพิจารณาด้วยความเหมาะสมแล้วก็จะไม่เกิดเรื่องร้องเรียน
ส่วนวิธีการการประเมิน ตนมองว่า ไม่ควรตัดสิทธิ์ เพราะเป็นวิธีที่ผ่านการเห็นชอบมาแล้วไม่ควรยกเลิก ไม่ใช่อ้างว่าไม่มีเวลาสัมภาษณ์หรือไม่ทันกำหนด เพราะว่าวันที่ 29 - 31 ตุลาคมการสัมภาษณ์ทางกองบัญชาการต่างๆ เขาสัมภาษณ์มาหมดแล้ว เหลือแค่รองผู้บัญชาการที่จะเป็นผู้บัญชาการ 80 คน ตนเชื่อว่า ใช้เวลา 1 ถึง 3 วันก็เสร็จแล้ว มันไม่ใช่ข้ออ้าง และผลที่ได้จากการพิจารณากลั่นกรองมันไม่ชัดเจน
ส่วนหลังจากเมื่อวานนี้ที่ยื่นหนังสือถึงนายภูมิธรรมแล้ว เรายังไม่ได้คุยกัน แต่ท่านได้บอกผ่านคณะทำงานมาว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ฉะนั้นความยุติธรรมความเป็นธรรมต้องเกิด และขอให้สบายใจได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ออกมาเป็นหน้าเสื่อจะส่งผลกระทบต่ออนาคตตัวเองหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า ถ้าเรากังวลมันก็จะเปลี่ยนแปลงระบบไม่ได้ ตนจะได้หรือไม่ได้ไม่ใช่เรื่อง แต่เป็นเรื่องที่ ก.ตร. ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ตนจึงร้องเรียนแทนทุกคนเพื่อผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้มีขวัญ และกำลังใจ ไม่ใช่ทำงานรอวันเกษียณ
พร้อมตั้งข้อสังเกตคนที่ใกล้เกษียณควรจะต้องพิจารณา เพราะเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่อง เวลาของความร่วมมือหรือสั่งการอะไรก็ควรที่จะพิจารณา ส่วนคนที่อายุน้อยๆ อย่างรุ่นน้องของตนมีจำนวนมาก เป็นหนุ่มไฟแรงที่ตั้งใจทำงาน แต่ใช่ว่าคนที่ใกล้เกษียณจะทำงานไม่ดี มีหลายคนที่ทำงานได้ดี และมีหลายคนที่ต้องปรับปรุงอย่างมาก
“ผมเชื่อว่าการร้องครั้งนี้เป็นการกระตุกเตือนผู้บังคับบัญชา ทั้งผู้บังคับบัญชาจากการเลือกตั้ง, การแต่งตั้ง และจากการดำรงตำแหน่ง ได้ย้อนกลับมาคิดว่าภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจะเดินไปทางไหน ควรเดินไปในทางที่ชอบธรรม และเป็นธรรมเพื่อพี่น้องประชาชนหรือเดินในทางที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเป็นระบบอุปถัมภ์ก็ขอให้พิจารณา” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย