"อาถรรพ์เลข 6"กับการเมืองไทย : เชื่อมโยงตระกูล"ชินวัตร"
"นิติสงคราม"กับชะตากรรมของรัฐบาลพลเรือน
คำว่า "นิติสงคราม" (Lawfare) ถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายถึงการใช้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อโค่นล้มหรือจำกัดบทบาทของคู่แข่งทางการเมือง โดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทางทหาร
ในบริบทของ "อาถรรพ์เลข 6" นี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนอย่างท่วมท้นถึง 6 ครั้ง กลับต้องเผชิญกับการถูกสอยลงจากอำนาจด้วยคำวินิจฉัยหรือกระบวนการทางกฎหมายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรค การตัดสิทธิ์ทางการเมือง หรือการดำเนินคดีกับแกนนำทางการเมือง ซึ่งมักจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
"ผู้นำคนที่ 6" และความกังวลในอนาคต
การที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกมองว่าเป็น "ผู้นำคนที่ 6" ที่อาจต้องเผชิญชะตากรรมคล้ายกับ5ผู้นำก่อนหน้า ได้แก่ นายทักษิณ ชินวัตร, นายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, และนายเศรษฐา ทวีสิน สะท้อนถึงความกังวลว่าประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย และวงจรการเมืองไทยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามยังคงดำเนินต่อไป
สิ่งนี้สร้างความไม่แน่นอนและความไม่มั่นคงให้กับเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ
มาตรฐานกระบวนการยุติธรรมที่แตกต่างกัน
ประเด็นที่สร้างคำถามและข้อถกเถียงอย่างมากคือ ความแตกต่างในการบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยมีการเปรียบเทียบกับกรณีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แม้จะถูกร้องเรียนหรือมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ "เลข 6" ในหลายเหตุการณ์ แต่กลับรอดพ้นจากคดีความทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยอาจไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันสำหรับทุกคน และอาจมีการเลือกปฏิบัติหรือตีความกฎหมายที่แตกต่างกันไปตามกลุ่มบุคคลหรือฝ่ายทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในหลักนิติธรรมและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
สรุป "อาถรรพ์เลข 6"จึงเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความซับซ้อนและปัญหาเชิงโครงสร้างในการเมืองไทย ทั้งในเรื่องของการใช้ "นิติสงคราม" การขาดเสถียรภาพทางการเมือง และความกังขาในความเป็นธรรมของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังคงต้องมีการถกเถียงและหาทางออกร่วมกันในสังคมไทยต่อไป