รีวิว CMF By Nothing Buds 2 หูฟังให้ครบทุกด้าน แค่ 1,899 บาท
กลับมาพบกับรีวิวจาก Sanook Hitech อีกครั้งสำหรับใครที่กำลังตามหากหหูฟังที่ราคาไม่ได้แพง แต่ได้ฟีเจอร์ครบไม่ว่าจะเป็นการตัดเสียง, คุยสายต้องดี และควบคุมง่ายแถมราคาไม่แพง วันนี้พบกับ CMF By Nothing Buds 2 กับหูฟังที่มีราคา 1,899 บาท เท่านั้น ที่ได้คุณสมบัติครบครัน พร้อมแล้วมาเริ่มกันได้เลยครับ
ดีไซน์ของ CMF Buds 2
สำหรับดีไซน์ของ CMF Buds 2 จะมาพร้อมกับทรงสี่เหลี่ยม และมาพร้อมกับวงกลมด้านหน้าไว้สำหรับใส่สายคล่องเพื่อความเก๋ๆ นอกจากนี้ยังมีจุดชาร์จไฟ USB-C, ไฟบอกสถานะของตัวเครื่องมาให้แบบครบครัน แถมมีสีสันให้เลือกทั้งหมดทั้งหมด 3 สีดำ, เขียว และ ส้ม
เปิดกล่องจะพบกับหูฟัง สำหรับใครที่อยากกด Pairing สามารถกดได้ที่จากข้างในนี้
หูฟังเป็นแบบ In-Ear ทรงคุณเคยสามารถเอาจุกหูฟังที่มีขนาดใกล้เคียงกันใส่ได้เพื่อความกระชับมากขึ้นหรือจะเป็นของติดกล่องที่มีขนาด S, M, L มาให้คุณเลือก ซึ่งการสวมใส่ทำได้ง่ายและลงตัวมีปุ่มสัมผัสทำให้สามารถเข้าถึงฟีเจอร์นี้ได้
ตัวหูฟังมีมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่นในระดับ IP55 ทำให้สามารถใช้งานขณะออกกำลังกายหรือในสถานการณ์ที่มีละอองน้ำได้โดยไม่ต้องกังวล ส่วนตัวเคสมีมาตรฐานกันน้ำที่ระดับ IPX2
ฟีเจอร์ภายในของหูฟัง
การควบคุมหูฟัง CMF Buds 2 จะใช้ Application Nothing X ซึ่งเป็นโปรแกรมควบคุมหูฟังของค่ายนี้จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ต่างๆ ดังนี้
1. การจัดการโหมดตัดเสียงรบกวน (Noise Control)
สลับโหมด: สามารถเลือกระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวน (Noise Cancellation), โหมดฟังเสียงภายนอก (Transparency Mode) และโหมดปิด (Off) ได้อย่างง่ายดาย
ปรับระดับความเข้ม: ในโหมดตัดเสียงรบกวน ผู้ใช้สามารถปรับระดับความเข้มของการตัดเสียงได้หลายระดับ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
2. การปรับแต่งเสียง (Equalizer)
พรีเซ็ตสำเร็จรูป: มีโปรไฟล์เสียง (Preset) ให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ เช่น
Dirac Opteo: โปรไฟล์เสียงที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษเพื่อความสมดุลและเป็นธรรมชาติ
Pop, Rock, Classical, Electronic: สำหรับแนวเพลงต่างๆ
Enhance Vocals: เน้นเสียงร้องให้คมชัดขึ้น
ปรับแต่งเอง (Custom EQ): สำหรับผู้ที่ต้องการปรับแต่งเสียงอย่างละเอียด สามารถสร้างและบันทึกโปรไฟล์เสียงของตัวเองได้โดยการปรับย่านความถี่ต่างๆ (Bass, Mid, Treble) ได้อย่างอิสระ
3. การตั้งค่าการควบคุมด้วยการสัมผัส (Customize Controls)
ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนคำสั่งของการสัมผัสที่ตัวหูฟังแต่ละข้างได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นการแตะสองครั้ง, แตะสามครั้ง, หรือแตะค้างไว้ โดยสามารถกำหนดให้ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้แก่:
เล่น/หยุดเพลง
ข้ามไปเพลงถัดไป / ย้อนกลับไปเพลงก่อนหน้า
สลับโหมดตัดเสียงรบกวน
เพิ่ม/ลดระดับเสียง
เรียกใช้งานผู้ช่วยเสียง (Voice Assistant)
4. การตั้งค่าวงแหวนอัจฉริยะ (Smart Dial)
วงแหวนบนเคสชาร์จไม่ได้เป็นเพียงดีไซน์ที่สวยงาม แต่ยังสามารถตั้งค่าผ่านแอป Nothing X เพื่อใช้ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้ โดยหลักๆ แล้วจะใช้สำหรับการ หมุนเพื่อปรับระดับเสียง และยังสามารถตั้งค่าการกดเพื่อควบคุมการเล่นเพลงได้อีกด้วย
5. การอัปเดตเฟิร์มแวร์ (Firmware Updates)
สามารถตรวจสอบและอัปเดตเฟิร์มแวร์เวอร์ชันล่าสุดให้กับหูฟัง CMF Buds 2 ของคุณได้โดยตรงผ่านแอป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ และอาจได้รับฟีเจอร์ใหม่ๆ ในอนาคต
6. ฟังก์ชันอื่นๆ
ตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่: ดูเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่คงเหลือของหูฟังทั้งข้างซ้าย, ข้างขวา และตัวเคสชาร์จได้อย่างชัดเจน
Low Lag Mode: เปิดใช้งานโหมดลดความหน่วงของเสียง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเล่นเกม เพื่อให้เสียงและภาพตรงกันมากที่สุด
ค้นหาหูฟัง (Find My Earbuds): ช่วยค้นหาตำแหน่งของหูฟังในกรณีที่ทำหาย โดยหูฟังจะส่งเสียงออกมาเพื่อให้หาได้ง่ายขึ้น (เมื่ออยู่ในระยะเชื่อมต่อ Bluetooth)
การเชื่อมต่อสองอุปกรณ์ (Dual Connection): ตั้งค่าและจัดการการเชื่อมต่อหูฟังกับอุปกรณ์สองเครื่องพร้อมกันได้
คุณภาพลำโพงและไมโครโฟน
ด้านคุณภาพของเสียงรุ่นนี้ให้ลำโพงมาครบกับ ไดรเวอร์แบบไดนามิกขนาด 11 มิลลิเมตร ที่ผลิตจากวัสดุ PMI (Polymethacrylimide) และ PU (Polyurethane) ผสานกับเทคโนโลยี Ultra Bass Technology 2.0 ที่ให้เสียงเบสที่หนักแน่นและลงได้ลึก นอกจากนี้ยังได้รับการปรับแต่งเสียงโดย Dirac Opteo และ Nothing เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่มีความสมดุลและเป็นธรรมชาติ พร้อมรองรับ Spatial Audio Effect ให้เสียงรอบทิศ แต่ราคานี้สิ่งที่จะขาดไปคือ Hi-Res Audio
ส่วนไมโครโฟน จัดว่าทำได้ดี เพราะ มาพร้อมไมโครโฟน 6 ตัว (ข้างละ 3 ตัว) พร้อมเทคโนโลยี Clear Voice Technology 3.0 และ Wind-Noise Reduction 3.0 ช่วยให้การสนทนาผ่านหูฟังมีความคมชัด ลดเสียงรบกวนจากลมและสภาพแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุยรู้เรื่องปลายสายได้ยินชัดเจน
ทั้งหมดที่ทำงานได้ดีเพราะหูฟังรุ่นนี้รองรับ Bluetooth 5.4 ที่ให้การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและเสถียรยิ่งขึ้น พร้อมฟีเจอร์ Google Fast Pair และ Microsoft Swift Pair ทำให้การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เป็นไปได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถเชื่อมต่อพร้อมกันได้ 2 อุปกรณ์ (Dual Device Connection)
แบตเตอรี่ / ระบบชาร์จไฟ
เรื่องแบตฯ ถือว่าหายห่วงเพราะ CMF Buds 2 สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 13.5 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (เมื่อปิด ANC) และเมื่อใช้ร่วมกับเคสชาร์จ จะสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 55 ชั่วโมงเลยทีเดียว อีกทั้งยังรองรับระบบชาร์จเร็ว โดยชาร์จเพียง 10 นาที สามารถใช้งานได้นานถึง 7.5 ชั่วโมง (เมื่อปิด ANC และชาร์จกับเคส) เรียกว่าเป็นหูฟังอีกรุ่นที่อึดมากพอสมควร
สรุปหลังลองใช้ CMF Buds 2
ดังนั้นเรามาสรุปกันกับหูฟัง CMF Buds 2 ที่่มีราคา 1,899 บาท เท่านั้นถือว่าเป็นอีกหูฟังที่ให้ฟีเจอร์ครบครันพร้อมกับลูกเล่นครบแบบไม่ต้องหาอะไรให้วุ่นวาย แค่ดาวน์โหลด Apps ตัวเดียวและใช้งานได้ง่ายแถมเป็นมิตรรู้จักอุปกรณ์ได้ง่าย หาได้ยากกับหูฟังราคาแบบนี้ แถมสีและดีไซน์สวย ใครที่สนใจอย่าลืมไปจับจองกันนะครับ