ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 21-26 กรกฎาคม 2568
พ้นไปจากประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ทั่วโลกจับตามอง สัปดาห์นี้ หลายประเทศเคลื่อนไหวเรียกร้องให้อิสราเอลหยุดยิงและเปิดความช่วยเหลือในกาซา เนื่องจากมีคนเสียชีวิตจากภาวะอดอยากแล้ว นักเคลื่อนไหวได้เริ่มแคมเปญ ‘เคาะหม้อเพื่อเรียกร้องให้กาซา’ ด้วยการชวนให้ผู้คนออกมาเคาะหม้อเป็นเวลา 2-5 นาทีในช่วง 18:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละที่ เพื่อย้ำเตือนว่ายังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องการความช่วยเหลือในกาซา
สัปดาห์นี้ยังมีข่าวสำคัญในประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ เมื่ออัยการเกาหลีได้ขอโทษหญิงที่ถูกตัดสินจำคุก เนื่องจากกัดลิ้นชายที่พยายามเข้ามาข่มขืน และศาลฮ่องกงได้ตัดสินว่าการห้ามบุคคลข้ามเพศเข้าห้องน้ำตามอัตลักษณ์เป็นเรื่องขัดต่อความเท่าเทียมทางเพศตามรัฐธรรมนูญ
ด้านการเมืองในประเทศต่างๆ พรรคฝ่ายขวาจัดของญี่ปุ่นกำลังได้รับกระแสความนิยมจากแคมเปญ ‘ญี่ปุ่นต้องมาก่อน’ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากทรัมป์ ในขณะที่ทรัมป์กำลังเผชิญกับ ‘เสียงแตก’ ในหมู่ผู้สนับสนุน เมื่อเขากลับคำไม่ยอมเปิดเผยเอกสารพิจารณคดีของเจฟฟรีย์ เอปสตีน นักธุรกิจที่ถูกตั้งข้อหาค้าประเวณีผู้เยาว์ และเคยจัดหาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีให้กับผู้มีอิทธิพลหลายคน รวมถึงเจ้าชายแอนดรูว์ พระโอรสควีนเอลิซาเบธที่สอง ก่อนหน้านี้ศาลได้เปิดเผยเอกสารหลายร้อยหน้ามาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งปรากฏชื่อคนดังมากมาย โดยเอกสารล่าสุดนี้ก็ได้ปรากฏชื่อทรัมป์เช่นเดียวกัน ทำให้ฝ่ายสนับสนุนเขาไม่พอใจที่มีการปิดบังข้อเท็จจริงบางอย่าง
ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ติดตามการสรุปข่าวต่อได้ที่นี่
South Korea
อัยการขอโทษหญิงที่เคยถูกตัดสินจำคุก เพราะกัดลิ้นชายที่พยายามข่มขืนเธอเมื่อ 60 ปีที่แล้ว
ในปี 1964 ชเว มัลจาในวัย 18 ปีถูกตัดสินให้จำคุก 10 เดือน รอลงอาญา 2 ปี จากกรณีกัดลิ้นชายที่พยายามข่มขืนเธอ
60 ปีผ่านไป ชเว มัลจา ในวัย 78 ปี ได้รับแรงบันดาลใจจากกระแส #MeToo ได้ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ในเมืองปูซาน
“เป็นเวลา 61 ปี ที่รัฐบังคับให้ฉันใช้ชีวิตอย่างอาชญากร” มัลจากล่าวกับผู้สื่อข่าวบีบีซีก่อนการพิจารณาคดี เธอหวังว่าคนรุ่นต่อไปจะมีชีวิตที่มีความสุขโดยปราศจากความรุนแรงทางเพศ
จอง มยองวอน อัยการสูงสุดของปูซาน ใต้ได้กล่าวขอโทษมัลจาและขอให้ศาลเพิกถอนคำตัดสินว่าเธอมีความผิด
“เราได้ทำให้ชเว มัลจา เหยื่ออาชญากรรมทางเพศที่ควรได้รับการคุ้มครองในฐานะเหยื่อ ได้รับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานอย่างเกินกว่าจะอธิบายได้” อัยการมยองวอนกล่าวในศาล
คำพิพากษาจะมีขึ้นในเดือนกันยายน ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่ามีแนวโน้มที่ศาลจะตัดสินให้มัลจาพ้นผิด หลังออกจากห้องพิจารณาคดี มัลจาจึงกล่าวว่า “เราชนะ!”
Gaza Conflict
กาซาเผชิญภาวะอดอยากจนมีผู้เสียชีวิต ทั่วโลกร่วมประท้วงอิสราเอลผ่านแคมเปญ ‘เคาะหม้อเพื่อกาซา’
ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2025 อิสราเอลสั่งปิดกั้นการส่งความช่วยเหลือเข้าไปยังฉนวนกาซา ทำให้ประชาชนที่มีอยู่ทั้งหมดกว่า 2.1 ล้านคน ตกอยู่ในความเสี่ยงร้ายแรงที่จะเผชิญกับภาวะอดอยาก
ภาพที่เกิดขึ้นช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาคือฝูงชนแย่งเสบียงจนล้นศูนย์ช่วยเหลือ และเด็กจำนวนมากร้องไห้เพราะความหิวโหย โดยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ปี 2025 กระทรวงสาธารณสุขในกาซารายงานว่าในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากภาวะขาดสารอาหารและความอดอยากแล้วกว่า 33 คน ซึ่งในจำนวนนี้รวมเด็ก 12 คน
และในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคนเสียชีวิตระหว่างพยายามเข้าถึงศูนย์กระจายสิ่งของช่วยเหลือ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการกราดยิงโดยทหารอิสราเอลที่ประจำการอยู่ในพื้นที่
สถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กลุ่มช่วยเหลือ กลุ่มสิทธิมนุษยชน และองค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศมากกว่า 100 กลุ่มออกแถลงการณ์เตือนถึง ‘ภาวะอดอยากครั้งใหญ่’ ที่กำลังเกิดขึ้นในกาซา และเรียกร้องให้นานาชาติดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อยุติวิกฤตนี้ รวมถึงเรียกร้องให้หยุดยิงโดยทันทีและถาวร ยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดเกี่ยวกับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มีรายงานว่ากองทัพอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศครั้งใหม่ในกาซา ทำให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 100 คนเสียชีวิตในช่วง 24 ชั่วโมงหลังการโจมตี โดยหลายรายเสียชีวิตระหว่างนอนหลับ
ภาวะอดอยากที่คนในกาซากำลังเผชิญ ทำให้นักเคลื่อนไหวได้สร้างแคมเปญ ‘เคาะหม้อเพื่อกาซา’ (Bang Your Pots For Gaza) โดยจัดกิจกรรมให้คนนำหม้อมาเคาะทุกวันเป็นเวลา 2-5 นาทีในช่วง 18:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละเมือง เพื่อเน้นย้ำถึงวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม แคมเปญนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิดีโอไวรัลที่ปรากฏภาพเด็กในกาซาหิวโหย และผู้คนจำนวนมากได้เคาะหม้อเปล่าของตัวเองเพื่อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เปิดด่านตรวจคนเข้าเมือง
Hong Kong
ศาลฮ่องกงสนับสนุนสิทธิของบุคคลข้ามเพศในการใช้ห้องน้ำที่ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศที่เลือก
ในมาตรา 7 และ 9 ของบทบัญญัติว่าด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ (พฤติกรรมและการปฏิบัติตน) หรือที่ฮ่องกงเรียกว่า the Public Conveniences (Conduct and Behaviour) Regulations [PCCBR] กำหนดว่า ห้ามมิให้บุคคลชายใดๆ ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ที่มาพร้อมกับญาติหรือพี่เลี้ยงหญิง เข้าห้องน้ำสาธารณะที่จัดไว้สำหรับผู้หญิง และเช่นเดียวกับเพศหญิง ห้ามเข้าห้องน้ำชาย ยกเว้นมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบที่มาพร้อมญาติหรือพี่เลี้ยง แม้บทบัญญัตินี้จะห้ามเพศชายและหญิง แต่ส่งผลให้คนข้ามเพศเข้าห้องน้ำสาธารณะตามอัตลักษณ์ทางเพศของตนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน เจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ออกจากห้องน้ำสาธารณะได้ และผู้ฝ่าฝืนมีความผิดทางอาญา ถูกปรับสูงสุด 2,000 ดอลลาร์ฮ่องกง
ชายข้ามเพศคนหนึ่ง ซึ่งระบุนามว่า K เกิดในฐานะเพศหญิง และระบุเพศสภาพเป็นผู้ชาย จึงพยายามแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้บุคคลที่เข้ารับการบำบัดประสบการณ์ชีวิตจริง (RLE) ภายใต้การดูแลของแพทย์ สามารถใช้ห้องน้ำสาธารณะที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนได้
รัสเซลล์ โคลแมน ผู้พิพากษาศาลสูงได้ตัดสินว่าการห้ามคนข้ามเพศใช้ห้องน้ำตามอัตลักษณ์ทางเพศของตนในบทบัญญัติว่าด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ (พฤติกรรมและการปฏิบัติตน) ถือเป็นสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
โคลแมนระบุว่า ควรยกเลิกบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องสองข้อของกฎหมาย เนื่องจากขัดต่อมาตรา 25 ของกฎหมายพื้นฐาน ซึ่งระบุว่าผู้อยู่อาศัยในฮ่องกงทุกคนมีความเท่าเทียมกันตามกฎหมาย แต่ให้ระงับการตัดสินเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อให้รัฐบาลสามารถพิจารณาและดำเนินการตามแนวทางที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขข้อกำหนดของการฝ่าฝืน
อย่างไรก็ตาม PCCBR มีผลบังคับใช้เฉพาะกับห้องน้ำสาธารณะที่บริหารจัดการโดยกรมอาหารและสุขอนามัยสิ่งแวดล้อม (FEHD) เท่านั้น คำพิพากษาของศาลสูงไม่ได้กล่าวถึงกฎระเบียบเกี่ยวกับห้องน้ำที่บริหารจัดการโดยเอกชน
“วันนี้ ผมและเพื่อนข้ามเพศที่ยังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนเพศสภาพ สามารถใช้ห้องน้ำสาธารณะได้อย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ” K ชายข้ามเพศที่เตรียมยื่นคำร้องนี้ตั้งแต่ 6 ปีที่แล้วได้แถลงผ่านทนายหลังจากคำตัดสินของศาลเปิดเผยออกมา “นี่เป็นก้าวสำคัญสู่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อเพศสภาพมากขึ้นในฮ่องกง และเราหวังว่าระบบยุติธรรมในฮ่องกงจะค่อยๆ ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต”
ในระหว่างการทบทวนทางศาล K ยังได้ขอให้รัฐบาลแก้ไขนิยามของ ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ ใน PCCBR ให้ครอบคลุมถึงบุคคลข้ามเพศ เนื่องจากตามคำพิพากษาของศาลสูงระบุว่า นิยามเหล่านี้ควรเป็นการบัญญัติจากฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ใช่ศาล
ในปี 2023 ศาลอุทธรณ์ยังได้พิพากษาว่าการที่รัฐบาลกำหนดให้บุคคลข้ามเพศต้องเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ (SRS) อย่างสมบูรณ์ก่อนจึงจะสามารถเปลี่ยนเครื่องหมายระบุเพศบนบัตรประจำตัวประชาชนนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ในปี 2021 คณะกรรมการโอกาสความเท่าเทียม (EOC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลความเท่าเทียมของฮ่องกง ได้เรียกร้องให้มีการตรากฎหมายเพื่อให้ความคุ้มครองต่อการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากรสนิยมทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ และสถานะความเป็นอินเตอร์เซ็กซ์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลหรือ EOC ยังไม่ได้เสนอข้อเสนอใดๆ
Germany
เยอรมนีเพิ่มงบพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหาร ทำให้สตาร์ทอัปได้สร้างสายลับแมลงสาบและโรบอตจาก AI
จากบาดแผลสงครามโลกครั้งที่ 2 และการกระทำของพรรคนาซี รวมทั้งความพยายามปลูกฝังแนวคิดด้านสันติภาพ เยอรมนีจึงกลายเป็นประเทศที่ลดการสนับสนุนด้านการพัฒนาทหาร แต่เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ และเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน รัฐบาลเริ่มทบทวนนโยบายด้านการทหารใหม่อีกครั้ง
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฟรีดริช เมิร์ซ มองว่าเทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีสตาร์ทอัปเป็นกุญแจสำคัญในแผนการป้องกันประเทศ และกำลังลดขั้นตอนราชการเพื่อเชื่อมโยงการทำงานของสตาร์ทอัปเข้ากับกองทัพระดับสูงโดยตรง
ในอดีต เยอรมนีได้รับการสนับสนุนทางทหารจากสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันพวกเขาเป็นผู้สนับสนุนการพัฒนาอาวุธและงบทางทหารรายใหญ่ให้กับยูเครน ทั้งยังมีเป้าหมายเพิ่มงบทางทหารของเยอรมนีในปี 2029 ประมาณ 162 พันล้านยูโร โดยชนวนใหญ่ที่ทำให้เยอรมนีและบริษัทสตาร์ทอัปด้านการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารตื่นตัวคือ กรณีรัสเซียรุกรานยูเครน
กุนด์เบิร์ต เชอร์ฟ ผู้ร่วมก่อตั้งเฮลซิง (Helsing) บริษัทสตาร์ทอัปด้านการป้องกันประเทศที่มีมูลค่าสูงสุดในยุโรป กล่าวว่า “ในปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ยุโรปใช้จ่ายด้านการจัดหาเทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศมากกว่าสหรัฐอเมริกา”
เฮลซิงได้ออกแบบอุปกรณ์ทางทหารเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในยุโรปที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเป็นเจ้าของโปรเจกต์การผลิตโดรนโจมตีทางทหารและระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับสนามรบ และกำลังพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย ตั้งแต่หุ่นยนต์ AI คล้ายรถถัง เรือดำน้ำขนาดเล็กไร้คนขับ ไปจนถึงแมลงสาบสายลับที่พร้อมรบ
สเวน ไวเซเน็กเกอร์ หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมไซเบอร์ ของกองทัพบุนเดสแวร์ กล่าวว่าสงครามในยูเครนกำลังเปลี่ยนแปลงทัศนคติทางสังคม และลบล้างตราบาปจากสงครามโลกครั้งที่สองที่มีต่อการทำงานในภาคการป้องกันประเทศ
“เยอรมนีได้พัฒนาความเปิดกว้างใหม่ต่อประเด็นความมั่นคงนับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซีย” ไวเซเน็กเกอร์ยังอธิบายว่าปัจจุบันมีคำขอจากนักพัฒนาในบริษัทสตาร์ทอัปจำนวนมากที่ยื่นไอเดียด้านการพัฒนาอุปกรณ์ทางการทหารไปยังศูนย์นวัตกรรมไซเบอร์
เช่น บริษัท Swarm Biotactics ได้เสนอแนวคิดแมลงสาบไซบอร์กที่ติดตั้งกระเป๋าสะพายหลังขนาดเล็กพิเศษ ซึ่งสามารถรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านกล้องได้ บนกระเป๋าสะพายของแมลงสาบจะช่วยให้มนุษย์สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของแมลงได้จากระยะไกล เป้าหมายคือให้แมลงเหล่านี้ให้ข้อมูลการเฝ้าระวังในสภาพแวดล้อมศัตรูได้
นโยบายการเพิ่มงบทางทหารของเยอรมนียังช่วยต่อหนทางการหารายได้ของบริษัทสตาร์ทอัป เนื่องจากนักลงทุนยุโรปหลายคนสนใจที่จะลงขันไปกับบริษัทเหล่านี้ ซึ่งต่างจากในอดีตที่พวกเขามักหลีกเลี่ยงสนับสนุนสตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยีทหารในเยอรมนี จากข้อจำกัดในการอนุมัติงบประมาณกลาโหมของเยอรมนี แต่ปัจจุบันการอนุมัติงบทางการทหารมีความคล่องตัวมากขึ้นแล้ว
WHO
องค์กรอนามัยโลกเตือนการแพร่ระบาดโรคไข้เลือดออกชิคุนกุนย่า
องค์การอนามัยโลกได้เตือนว่าโรคไข้เลือดออกชิคุนกุนย่าระลอกใหม่กำลังระบาดในหลายประเทศ โดยมีการระบาดครั้งใหญ่ในเรอูนียง มายอต และมอริเชียส ซึ่งอยู่ในหมู่เกาะมหาสมุทรอินเดีย พื้นที่เหล่านี้เคยได้รับผลกระทบจากการระบาดเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว
ไดอานา โรฮาส อัลวาเรซ เจ้าหน้าที่การแพทย์ขององค์การอนามัยโลก รายงานสถานการณ์ล่าสุดว่า ประชากรของลาเรอูนียงประมาณ 1 ใน 3 ติดเชื้อแล้ว ขณะนี้ไวรัสกำลังแพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆ เช่น มาดากัสการ์ โซมาเลีย และเคนยา ทั้งยังพบการระบาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงอินเดีย โดยส่วนที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือจำนวนผู้ป่วยและการแพร่ระบาดในยุโรป ในฝรั่งเศสมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่า 800 คน และยังพบการแพร่ระบาดในท้องถิ่น ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยติดเชื้อจากยุงในพื้นที่โดยไม่ได้เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค และยังมีรายงานผู้ป่วย 1 รายในอิตาลีอีกด้วย
“เรากำลังเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” โรฮาส อัลวาเรซ เจ้าหน้าที่การแพทย์ขององค์การอนามัยโลกกล่าว เธอได้เปรียบเทียบกับการระบาดในปี 2008-2009 ที่เริ่มจากเกาะขนาดเล็กก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลกส่งผลกระทบต่อผู้คนเกือบครึ่งล้าน โดยองค์การอนามัยโลกประเมินว่ามีประชากร 5.6 พันล้านที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อไวรัสนี้
โรคไข้เลือดออกชิคุนกุนย่า มียุงลายและยุงลายเสือเป็นพาหะ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดข้อ มีผื่นแดงตามแขนขา ตาแดง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ท้องเสีย และอาจส่งผลต่อความพิการระยะยาว ขณะนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง วิธีป้องกันคือการใช้ยากันยุงและสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย
Ozzy Osbourne
ออซซี ออสบอร์น นักร้องนำวง Black Sabbath เสียชีวิตในวัย 76 ปี
ออซซี ออสบอร์น นักร้องนำวง Black Sabbath ผู้บุกเบิกแนวดนตรีเฮฟวีเมทัล และได้รับการยกย่องใน Hall of Fame ของวงการเพลงร็อกแอนด์โรลถึงสองครั้ง เพิ่งรวมตัวกับสมาชิกวงเพื่อเล่นคอนเสิร์ตสุดท้าย Back to the Beginning ที่บ้านเกิดในเมืองเบอร์มิงแฮมไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม นับเป็นคอนเสิร์ตที่แฟนเพลงแนวเฮฟวีเมทัลกล่าวว่าเขาได้ปิดฉากอำลาด้วยสิ่งที่เขารักและทุ่มเทมาตลอดชีวิต
ครอบครัวออสบอร์นได้แถลงถึงการเสียชีวิตดังกล่าว ในวันที่ 22 กรกฎาคม โดยไม่ได้ระบุถึงสาเหตุอย่างเฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ตาม ออสบอร์นต้องรักษาร่างกายจากโรคเรื้อรังหลายอย่าง ทั้งโรคพาร์กินสันจากการใช้ยาเสพติดเรื้อรัง และโรคซึมเศร้าในช่วงท้ายของชีวิต
"เขารักในสิ่งที่เขาทำ เขารักดนตรี เขารักการเล่นดนตรีไปด้วยกันกับพวกเรา และผมดีใจมากที่เรามีโอกาสได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อแสดงคอนเสิร์ตอำลา" โทนี่ ไอออมมี ผู้ร่วมก่อตั้งวง Black Sabbath กล่าว
คุณูปการสำคัญของออสบอร์นและวง Black Sabbath คือการประกาศให้โลกได้รู้จักกับดนตรีแนวเฮฟวีเมทัลที่มีเสียงดังกระหึ่มและจังหวะหนักแน่น โดยออสบอร์นใช้เสียงร้องโหยหวนกล่อมเกลาผู้คนถึงความดำมืดทางจินตนาการ เพลงของวง Black Sabbath ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวเพลงเฮฟวีเมทัลและวงการร็อกในหลายทศวรรษต่อมา
“น้ำเสียงร้องของออซซีนั้นโดดเด่นอย่างแน่นอน แต่ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือเส้นเสียงของเขามักจะบดบังการดำเนินคอร์ดอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งนักร้องส่วนใหญ่คงหลีกเลี่ยง เพื่อให้พวกเขาดูฉลาดขึ้น” จอห์น ดาร์เนียล นักแต่งเพลงและนักเขียน ได้ให้สัมภาษณ์กับเดอะนิวยอร์กไทมส์ ดาร์เนียลเคยเขียนนิยายเกี่ยวกับวง Black Sabbath และทำอัลบั้มในธีม Osbourne ร่วมกับวงของเขาอย่าง Mountain Goats
ออสบอร์นไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกวงเฮฟวีเมทัลอย่าง Black Sabbath เท่านั้น เขาได้ผลิตงานในฐานะศิลปินเดี่ยวผ่านอัลบั้มระดับแพลตตินัมกว่า 13 อัลบั้ม และได้รับการขนานนามว่า ‘เจ้าชายแห่งความมืด’ (Prince of Darkness) เขายังเคยร่วมงานกับศิลปินรุ่นใหม่อย่าง Post Malone และ Travis Scott ในเพลง Take What You Want
ที่สำคัญคือ ปี 2002 ออซซียังประสบความสำเร็จจากการบุกเบิกรายการเรียลลิตี้ครอบครัวคนดังใน MTV อย่าง The Osbournes ซึ่งนำเสนอชีวิตส่วนตัวและครอบครัวของเขา ทำให้ผู้ชมได้เห็นตัวตนของออสบอร์นในฐานะผู้นำครอบครัวที่สับสนวุ่นวายแต่เต็มไปด้วยความรัก มีมุกตลกที่สวนทางกับรสนิยมของการจินตนาการถึงซาตานของเขาบนเวทีดนตรี ในสายตาของผู้ชม ออสบอร์นมีคาแรกเตอร์เป็นคุณพ่อที่ทั้งงุนงง พูดจาหยาบคายแต่ชาญฉลาด เข้าถึงง่าย และน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เขากลายเป็นดาราทีวีในทันที และยังทำให้ The Osbournes เป็นต้นแบบให้กับรายการเรียลลิตี้อื่นๆ ในเวลาต่อมา
“ทุกสิ่งทุกอย่างบนเวที ความบ้าคลั่ง มันเป็นเพียงบทบาทที่ผมเล่น เป็นงานของผม” เขาให้สัมภาษณ์กับเดอะนิวยอร์กไทมส์เมื่อปี 1992 โดยกล่าวย้ำว่า เขาไม่ได้เป็นพวกต่อต้านศาสนา แต่เป็นคนรักครอบครัว (family man)
ในช่วงที่เขาและวง Black Sabbath รุ่งเรืองถึงขีดสุด ออสบอร์นได้ใช้เงินจำนวนมากไปกับยาเสพติด แม้เขาพยายามลาขาดจากมันหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องพึ่งพามันอยู่ หลังจากเขาเผลอหลับผิดห้องในโรงแรมที่แนชวิลล์ แล้วตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองพลาดขึ้นเล่นคอนเสิร์ต วง Black Sabbath ก็ได้ไล่เขาออกในปี 1979
เขาเอาแต่จมอยู่กับนิสัยแย่ๆ ในโรงแรมแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส จนกระทั่งชารอน อาร์เดน ลูกสาวของผู้จัดการเขาเข้ามาต่อว่า และกล่าวหาว่าเขาขโมยเงินเธอไปซื้อยา วันต่อมาเธอกลับเสนอว่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวแทนพ่อตัวเอง และออสบอร์นตอบรับ ทำให้พ่อชารอนฟ้องร้องเธอใหญ่โต หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ยุ่งกันอีกเลย
ออสบอร์นและชารอนแต่งงานกันในวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 1982 มีลูกด้วยกันสองคน คือเคลลีและแจ็ก พวกเขาร่วมกันออกรายการ The Osbournes
หลังครอบครัวแถลงการเสียชีวิตของออสบอร์น แฟนคลับจำนวนมากได้ร่วมไว้อาลัยด้วยการวางดอกไม้บนม้านั่งสะพาน Black Sabbath ในเมืองเบอร์มิงแฮม ศิลปินและนักร้องหลายคนร่วมแสดงความอาลัยและกล่าวเชิดชูออสบอร์นในฐานะแรงบันดาลใจที่ไม่ได้มีอิทธิพลในวงการร็อกเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่สร้างพลังยิ่งใหญ่ในฐานะศิลปินระดับโลก
"เราจะคิดถึงคุณนะ ออสบอร์น" เลดี้ กาก้ากล่าวในคอนเสิร์ต Mayhem Ball โดยเธอสวมเสื้อยืดที่มีใบหน้าของออสบอร์น และมีเพลง Crazy Train ของออสบอร์นดังขึ้นเป็นแบ็คกราวด์
Japan
‘ซันเซโตะ’ พรรคขวาจัดที่ชูนโยบาย ‘คนญี่ปุ่นต้องมาก่อน’ ชนะการเลือกตั้งวุฒิสภา 14 ที่นั่ง
ผลการเลือกตั้งวุฒิสภาญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 2025 ชี้ให้เห็นว่า ‘พรรคซันเซโตะ’ (Sanseto) พรรคฝ่ายขวาสุดโต่งกำลังมาแรง หลังจากคว้าชัยชนะมากถึง 14 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยได้เพียง 1 ที่นั่งในการเลือกตั้งเมื่อสามปีก่อน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า พรรคซันเซโตะถือกำเนิดขึ้นจากการทำช่องยูทูปในช่วงที่โควิด-19 ระบาด ซึ่งตอนนั้นพรรคเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนและกลุ่มชนชั้นนำระดับโลก และเมื่อไม่นานมานี้ พรรคได้สร้างฐานเสียงและก้าวเข้าสู่การเมืองกระแสหลักจากแคมเปญ ‘คนญี่ปุ่นต้องมาก่อน’ (Japanese First)
จุดยืนต่อต้านชาวต่างชาติที่แข็งกร้าว และการเรียกร้องให้มีการควบคุมชาวต่างชาติที่เข้มงวดขึ้น ทำให้พรรคซันเซโตะได้รับการสนับสนุนจากชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่ไม่พอใจเกี่ยวกับจำนวนผู้อพยพที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัญหานักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในประเทศอย่างมหาศาลหลังการระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้ พรรคซันเซโตะยังมีนโยบายการลดภาษีและการใช้จ่ายสวัสดิการ รวมถึงการลดความเท่าเทียมทางเพศและนโยบายความหลากหลาย
ทั้งนี้ โซเฮ คามิยะ หัวหน้าพรรคฯ วัย 47 ปี ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์นิปปอนทีวีว่า “วลีญี่ปุ่นต้องมาก่อนมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นผ่านการต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์ ผมไม่ได้บอกว่าเราควรแบนชาวต่างชาติโดยสิ้นเชิง หรือขับไล่ชาวต่างชาติทุกคนออกจากญี่ปุ่น”
ด้าน ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวว่าเขาวางแผนจะลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของเขาพ่ายแพ้ครั้งประวัติศาสตร์ในการเลือกตั้งและสูญเสียเสียงข้างมากในสภาสูง โดยนายกฯ อิชิบะกล่าวว่าเขาต้องการผลักดันข้อตกลงภาษีศุลกากรที่ทำไว้กับสหรัฐอเมริกาให้บรรลุตามเป้าหมายและถูกนำไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม
United States
ผลสำรวจชี้ว่าผู้สนับสนุนพรรคริพับลีกันเสียงแตกเกี่ยวกับการจัดการเอกสารคดีเจฟฟรีย์ เอปสตีนของทรัมป์
ในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะก่อนการเลือกตั้งปี 2024 โดนัลด์ ทรัมป์ มักเอ่ยถึงและสัญญาว่าจะเปิดเผย ‘Jeffrey Epstein Files’ ซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีอาญาของ ‘เจฟฟรีย์ เอปสตีน’ นักธุรกิจชาวอเมริกันผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดผู้เยาว์ ซึ่งเขาเสียชีวิตด้วยการแขวนคอในเรือนจำเมื่อปี 2019
แต่หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ดูเหมือนจะผิดสัญญาและมีท่าทีที่เปลี่ยนไป เพราะเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ปี 2025 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศว่าจะไม่เปิดเผยเอกสารเพิ่มเติม โดยระบุว่าอาจเป็นอันตรายต่อเหยื่อ รวมถึงยืนยันว่าไม่มี ‘รายชื่อลูกค้า’ ที่อาจเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
มากไปกว่านั้น เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ปี 2025 Wall Street Journal ยังเปิดเผยว่า แพม บอนดี อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ แจ้งกับทรัมป์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่าชื่อของทรัมป์ปรากฎอยู่ในเอกสารเหล่านี้ ซึ่งทางทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธและระบุว่ารายงานดังกล่าวเป็น ‘ข่าวปลอม’
โดยหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า Wall Street Journal รายงานว่าทรัมป์คือหนึ่งในเพื่อนร่วมงานหลายสิบคนที่เขียนจดหมายถึงเอปสตีนในปี 2003 เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบ 50 ปีของเขา ซึ่งทรัมป์ปฏิเสธและฟ้องร้อง Wall Street Journal เกี่ยวกับการเผยแพร่บทความดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจล่าสุดของรัฐบาลทรัมป์ที่จะไม่เปิดเผยรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับการสืบสวนคดีของเจฟฟรีย์ เอปสตีน กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พันธมิตรและผู้สนับสนุนพรรคริพับลีกันเสียงแตก
ผลสำรวจจาก Quinnipiac University เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ปี 2025 เปิดเผยว่ามีผู้สนับสนุนพรรคริพับลีกันที่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการเอกสารเอปสตีนของทรัมป์อยู่ที่ 40 เปอร์เซ็นต์
แต่ที่น่าสังเกตคือมีผู้สนับสนุนพรรคริพับลีกันมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 36 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งตัวเลขนี้อาจเป็นความไม่พอใจในกลุ่มผู้สนับสนุนมากที่สุดที่ทรัมป์เจอนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
สำหรับผลการสำรวจในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันโดยรวม 17 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าเห็นด้วยกับวิธีการจัดการเอกสารเอปสตีนของรัฐบาลทรัมป์ ขณะที่ 63 เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วย
Philippines
นักข่าววิทยุถูกยิงสะท้อนปัญหาเสรีภาพและความเสี่ยงของนักข่าวในฟิลิปปินส์
เออร์วิน ลาบิตัด เซโกเวีย วัย 63 ปี ผู้ประกาศข่าวสถานีวิทยุ WOW FM และพิธีกรรายการประเด็นสังคมและการปกครองท้องถิ่น ถูกมือปืนนิรนามยิงเสียชีวิตขณะกำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากจบการออกอากาศช่วงเช้าไม่นาน
“ความปลอดภัยของนักข่าวยังคงเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ของรัฐบาล และความยุติธรรมสำหรับเหยื่อความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับสื่อยังคงเป็นข้อกังวลระดับชาติ” โฮเซ ตอร์เรส จูเนียร์ ผู้อำนวยการบริหารคณะทำงานเฉพาะกิจของประธานาธิบดีด้านความมั่นคงของสื่อกล่าวในแถลงการณ์ โดยย้ำว่า เจ้าหน้าที่ได้เริ่มการสืบสวนและจัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อดูแลคดีนี้
ตามการจัดอันดับประเทศที่มีความล้มเหลวในการดำเนินคดีกับผู้ที่ฆาตกรรมนักข่าวในดัชนีคณะกรรมการคุ้มครองนักข่าวโลก (Committee to Protect Journalists' Global Impunity Index) ประจำปี 2024 ฟิลิปปินส์เป็นประเทศลำดับที่ 9 ที่มีความล้มเหลวในการดำเนินคดีนักข่าวถูกทำร้าย
เหตุการณ์ล่าสุดนี้จึงเน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่นักข่าวในฟิลิปปินส์ต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจังหวัดที่เกิดพลวัตของอำนาจท้องถิ่นและไม่มีการตรวจสอบตามข้อมูลของสหภาพนักข่าวแห่งชาติฟิลิปปินส์ระบุว่า นับตั้งแต่ประเทศเป็นประชาธิปไตยกลับคืนมาในปี 1986 มีนักข่าวถูกสังหารมากกว่า 200 คน เช่นในปี 2009 มีนักข่าวเสียชีวิตกว่า 32 คนภายในเหตุการณ์เดียว
อ้างอิง: bbc.com, hongkongfp.com, reuters.com, reuters.com, nytimes.com, nytimes.com, reuters.com, reuters.com, reuters.com, nytimes.com, nytimes.com, bbc.com, reuters.com
บทความต้นฉบับได้ที่ : ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 21-26 กรกฎาคม 2568
บทความที่เกี่ยวข้อง
- Spotlight: ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้นบ้างในสัปดาห์นี้ [14-17 ก.ค. 2568]
- Forms of Expression นิทรรศการที่ มานิตา ส่งเสริม ไทโปกราฟิกดีไซเนอร์บอกกับทุกคนว่า ตัวอักษรก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากเรา
- ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 14-19 กรกฎาคม 2568
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath