วิจัยชี้ 'คนจะแก่เร็วขึ้น' เซลล์และอวัยวะเสื่อมเร็ว ในวัย 45-55 ปี
ยุคนี้หลายคนเชื่อว่าคนมีอายุยืนขึ้น แก่ช้าลง ทว่างานวิจัยใหม่ชี้ว่า "คนจะแก่เร็วขึ้น" ในวัย 45-55 ปี อันเป็นจุดเสื่อมสูงสุดของเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะสำคัญในร่างกาย
Cr.Pixabay
ความแก่เป็นเรื่องธรรมชาติ เปรียบได้กับมนุษย์เห็นภาพสะท้อนจากกระจกเงาว่า เราเปลี่ยนแปลงทุกวัน ค่อย ๆ แก่ลง มนุษย์จึงทำใจได้และยอมรับ "ความชรา" และความเสื่อมถอยของร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แม้เทคโนโลยียุคใหม่ช่วยขจัดโรคภัยหลายอย่าง ชะลอความเหี่ยวย่นและความหย่อนยานของผิวภายนอก ทว่านักวิทยาศาตร์ยุคใหม่ค้นพบว่า คนจะแก่เร็วขึ้นในวัย 45-55 ปี
บางงานวิจัยระบุว่า ความแก่ของคนเราจะเร่งเวลาเร็วขึ้น เป็น 2 ช่วง คือเมื่ออายุเฉลี่ย 44 ปี และเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่ออายุเฉลี่ย 60 ปี
Cr.Tung Lam from Pixabay
งานวิจัยล่าสุดของ Guanghui Liu จากสถาบันวิทยาศาสตร์จีนในปักกิ่ง (Chinese Academy of Sciences) เผย จุดวิกฤติ "ความชรา" ว่า อยู่ที่อายุประมาณ 50 ปี ที่เนื้อเยื่อและอวัยวะถึงจุดเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว จากการศึกษาระดับโปรตีนในร่างกายในคนวัยผู้ใหญ่ และการทำงานของเส้นเลือดดำในหลอดเลือดที่ทำงานถดถอยลง โดยเฉพาะการทำงานของ “โปรตีน” ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ
งานวิจัยอ้างอิงจากการศึกษาเนื้อเยื่อที่เปลี่ยนไป จากผู้บริจาคอวัยวะ 76 คน อายุ 14-68 ปี ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โดยเก็บตัวอย่างโปรตีนและเลือดจากอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจและหลอดเลือด การทำงานของเส้นเลือดใหญ่ที่นำเลือดออกจากหัวใจ ระบบย่อยอาหาร ตับ ตับอ่อน ม้าม ลำไส้ ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบน้ำเหลือง ระบบต่อมไร้ท่อ ปอด ผิวหนัง และกล้ามเนื้อ ศึกษาเปรียบเทียบในช่วงอายุต่าง ๆ และพบว่าเชื้อโรค 48 ชนิด สัมพันธ์กับโปรตีนและอายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด การเกิดพังผืดเนื้อเยื่อ ไขมันพอกตับและโรคเกี่ยวกับตับ
Cr.zmescience.com
การเก็บข้อมูลนำไปสู่ข้อสรุปว่า เมื่ออายุ 45-55 ปี การทำงานของโปรตีนและเนื้อเยื่อจะเปลี่ยนไปส่งผลให้เกิดความชรา ทำให้ คนเราแก่เร็วขึ้น
อีกหนึ่งงานวิจัยของ ดร.ไมเคิล สไนเดอร์ (Michael Snyder) นักพันธุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนีย ระบุว่า “ความแก่” ที่ดูเหมือนค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยตามกาลเวลานั้น มีความสำคัญที่แฝงอยู่ด้วยคือ ความเสื่อมถอยของการทำงานของเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะ โดยศึกษาถึงชีวโมเลกุลในเซลล์เพื่อทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลง เพื่อหาทางบรรเทาและรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น
Cr.Pixabay
ดร.สไนเดอร์และทีมงานค้นพบว่า บางโรคที่มักเกิดกับผู้สูงวัยเช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอัลไซเมอร์ ความเสี่ยงจะไม่เพิ่มขึ้นทีละน้อยตามกาลเวลา แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อถึงอายุระดับหนึ่ง
โดย "ความแก่" จะไม่ค่อยเป็นค่อยไป (อย่างที่เราคิด) หากเกิดกระบวนการ “เร่งความแก่” จากโปรตีนที่เปลี่ยนไปในอวัยวะต่าง ๆ ตัวเลขที่น่าสนใจคืออายุ 50 ปี อัตราเร่งแก่นั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โปรตีนสำคัญและอวัยวะภายในที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดกระบวนการ "เร่งแก่" คือ หลอดเลือด โดยนักวิจัย Maja Olecka นักวิจัยเรื่องเอจจิ้ง จากสถาบัน Fritz Lipmann Institute in Jena ในเยอรมนี เผยว่า การเสื่อมถอยของอวัยวะสัมพันธ์กับอายุ แม้บอกตัวเลขชัดเจนไม่ได้แต่ก็บอกได้ว่า จุดพลิกผันอันตรายคืออายุ 50 ปี บางงานวิจัยอ้างอิงว่า วัย 40 กลาง ๆ และวิกฤติอีกครั้งตอนต้นวัย 60 ปี
Cr.Gerd Altmann from Pixabay
อีกหนึ่งงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร Nature Aging ระบุว่า ตรวจพบโมเลกุลจำนวน 11,000 โมเลกุลในร่างกายคนวัยผู้ใหญ่ และพบว่า 81% เผชิญกับสภาวะเสื่อมถอยในสองช่วงอายุ จากผลของระดับโปรตีนที่ลดลง ระบบเผาผลาญ และยีนของแต่ละคน
อย่างไรก็ดี ดร.ซไนเดอร์ บอกว่า แม้ข้อมูลความ “แก่เร็ว” จะส่งผลกระทบต่อจิตใจ บ้างก็บอกว่าแก่ยังไม่พออีกหรือ…ยังแก่เร็วมากขึ้นอีก ยังมีวิธีที่ช่วยดูแลร่างกาย ป้องกันการแก่ก่อนวัย เช่น เมื่อขึ้นอายุ 40 ปี ให้ระวังเรื่องระดับคอเลสเตอรอล ดูแลกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดแอลกอฮอล์ที่จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานบกพร่อง
Cr.Freepik
ส่วนคนวัย 60 ปีขึ้น ให้ระวังเรื่องอาหารมากขึ้น กินอาหารต้านอักเสบ เช่น กระเทียม ผักผลไม้ที่มีแอนตี้ออกซิแดนท์ มีวิตามินซีและอี เพื่อรักษาระดับชีวโมเลกุลในร่างกาย
“อย่างน้อยเราก็เลือกที่จะมีไลฟ์สไตล์ที่ดีในขณะที่เรายังมีสุขภาพที่ดีได้” ดร.ซไนเดอร์ให้แง่คิด
อายุมากขึ้นดูเหมือนเป็นกระบวนการที่ช้าและค่อยเป็นค่อยไป แต่งานวิจัยยุคใหม่แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป
Cr.mylifesite.net
ความแก่เป็นเรื่องซับซ้อน เลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ และการพบกระบวนการเร่งแก่ ทำให้ คนจะแก่เร็วขึ้น กำลังเป็น ปรากฏการณ์งานวิจัย ที่จุดประกายให้นักวิทยาศาสตร์ คิดค้น พยายามทำความเข้าใจกับร่างกายมนุษย์ และหาหนทางป้องกันและเยียวยา
อ้างอิง: sciencealert.com , nature.com