กูรู ส่องเป้าหมายหุ้น `การบินไทย (THAI)` หลังกลับเข้า SET วันแรก ลุ้นเป้าสูงสุดทะลุ 10 บาท
กูรู ส่องเป้าหมายหุ้น การบินไทย (THAI) หลังกลับเข้า SET วันแรก ลุ้นเป้าสูงสุดทะลุ 10 บาท
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -4 ส.ค. 68 9:13: น.
เปิดมุมมองกูรู ต่อหุ้น "การบินไทย (THAI)" หลังกลับมาเทรดวันนี้ (4 ส.ค.68) วันแรก พบส่วนใหญ่มองแนวโน้มกำไรปีนี้โตแกร่ง ลุ้นเห็นระดับเกิน 2.8 หมื่นลบ. ชูโครงสร้างการเงินและทิศทางธุรกิจการบินดีขึ้นหลังผ่านแผนฟื้นฟู ให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 10.70 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (4 ส.ค.68) จะเป็นวันแรกที่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI จะกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อีกครั้ง หลังจากต้องพักการซื้อขายไปถึง 4 ปี เพื่อเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย จึงได้รวบรวมมุมมองของนักวิเคราะห์ ที่ได้ประเมินทิศทางของ THAI ต่อการกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้น แผนธุรกิจและอนาคตของบริษัท ว่าจะเป็นอย่างไร รวมถึงราคาเหมาะสม หรือราคาเป้าหมายในอนาคต เพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน
*** กรุงศรี ชูฐานะการเงินแกร่ง ลุ้นกำไรปีนี้โต 25%
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเมินราคาเป้าหมาย ของหุ้น THAI เท่ากับ 7.65 บาท โดยใช้วิธี EV/EBITDA ที่ระดับ 4.5 เท่า อิงจากค่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการสายการบินในภูมิภาคเอเชีย โดยมีมุมมองดังนี้
THAI ออกจากการฟื้นฟูกิจการเมื่อ 16 มิ.ย.68 โดยผลประกอบการแข็งแกร่งในปี 66-67 และงวดไตรมาส 1/68 โดยมีกำไรปกติ 26,000 ล้านบาท, 21,000 ล้านบาท และ 10,000 ล้านบาท ตามลำดับ ฐานะทางการเงินมั่นคง ณ สิ้นไตรมาส 1/68 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดกว่า 120,000 ล้านบาท อัตราหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนอยู่ที่ 2.2 เท่า ขณะที่กระทรวงการคลังถือหุ้นลดลงเหลือ 38.9%
ทั้งนี้คาดว่าในปี 68 THAI จะมีกำไรปกติ 26,000 ล้านบาท เติบโต +25% YoY จากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ อัตราบรรทุกผู้โดยสาร 80% ราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ย 9,483 บาท สูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 56% และยังได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง -9% YoY ทำให้ต้นทุนบริการต่อหน่วยลดลง -6% YoY
ส่วนในปี 69 คาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 22,000 ล้านบาท ลดลง -16% YoY จากการแข่งขันที่สูงขึ้น และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น กดดันอัตรากำไร
ทั้งนี้ การฟื้นฟูกิจการช่วยให้ THAI มีโครงสร้างต้นทุนที่ดีขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 3540% จากเดิมก่อนฟื้นฟูที่ 2030% ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลงกว่า -40% เมื่อเทียบกับก่อนฟื้นฟู รวมถึงกลยุทธ์ Network Strategy และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน ช่วยหนุนให้ทั้งอัตราบรรทุกผู้โดยสารและราคาตั๋วเฉลี่ยเติบโตได้ดี
ขณะเดียวกัน การปรับโครงสร้างทุน (แปลงหนี้เป็นทุนและเพิ่มทุน) ส่งผลให้ฐานะการเงินของ THAI แข็งแกร่งกว่าผู้ประกอบการสายการบินด้ดวยกันอีกด้วย
แม้ว่า THAI จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงจากการแทรกแซงของภาครัฐ เนื่องจากกระทรวงการคลังยังถือหุ้นกว่า 39% และมีผู้บริหารจากหน่วยงานรัฐนั่งเป็นกรรมการบริษัท ขณะที่การดำเนินงานยังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน เนื่องจากต้นทุนน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของต้นทุนรวมทั้งหมด
*** เอเซียพลัส มองงบดุลแข็งแรง Operating Margin ดีกว่าคู่แข่ง
บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้าแผนฟื้นฟูช่วง Covid การดำเนินงานมีพัฒนาการขึ้น สามารถกลับมามีกำไรปกติในปี 67 ราว 2.1 หมื่นล้านบาท ดีขึ้นจากปี 62 ที่ขาดทุนปกติราว 1.6หมื่นล้านบาท ตามการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่งบดุลแกร่งขึ้นมีIBD/E ที่ 2.2 เท่า จาก Pre-COVID ที่ 12.5 เท่า หลังดำเนินการแปลงหนี้เป็นทุน
ด้านจำนวนหุ้นล่าสุดที่ 28,303,291,567 หุ้น เพิ่มจาก 2,182,771,917 หุ้น ณ สิ้นปี 62 เพราะการแปลงหนี้เป็นทุน 20,989,446,278 หุ้น (ราคาใช้สิทธิที่ 2.5452 บาทต่อหุ้น) และผู้ถือหุ้นเดิม 5,108,501,972 หุ้น และบุคคลในวงจำกัด 22,571,400 หุ้น ทั้ง2 กลุ่มมีราคาใช้สิทธิ 4.48 บาทต่อหุ้น
Free Float ณ 14 มี.ค. ที่ 43.1% แต่หุ้นที่มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน 100% ถูก Lockup 1 ปี (สัดส่วน 25% ขายได้หลังครบ 6 เดือนนับแต่วันที่กลับเข้าซื้อขาย) ทำให้ FreeFloat ในการซื้อขายต่ำกว่าข้างต้นพอควร เชิงกลยุทธ์มองเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น
ฝ่ายวิจัยมองว่าการดำเนินงานมีพัฒนาการขึ้นกว่า Pre-COVID หลังการคุมค่าใช้จ่ายทำได้ดีขึ้น หนุน Operating profit margin ขยับมาที่ 19%ดีกว่ากลุ่มสายการบินในต่างประเทศที่ 11% ในขณะที่ฝั่งรายได้ยืนระดับ 1.8 2 แสนล้านบาท จากจุดแข็งในการเป็นสายการบินหลักของไทย ช่วยให้ Slot การบินดีกว่าสายการบินอื่น
คาดกำไรปกติปี 68 ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท (Norm EPS ที่ 1 บาท) เติบโต 30% YoYหนุนด้วยรายได้ดีขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายลด หลังแปลงหนี้เป็นทุน
อิง PER ที่ 8 10 เท่า ใกล้เคียงกับหุ้นสนามบินต่างประเทศ ได้ FV ในกรอบ 8 10บาท ในมุมฝ่ายวิจัยจุดน่าสนใจของ THAI มาจากการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น ขณะที่สัดส่วนรายได้จากจีนน้อยกว่า 5% ทำให้ผลจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน น้อยกว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวไทยอื่น
*** เมย์แบงก์ ให้เป้าหมาย 10 บ.
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เรากลับมาเริ่มต้นการวิเคราะห์หุ้น THAI อีกครั้งด้วยคำแนะนำ ซื้อ และให้ราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท โดยอิงจาก P/E เป้าหมายที่ 10.5 เท่า (เทียบเท่าอุตสาหกรรมสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) THAI เป็นสายการบินแห่งชาติที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทย หลังการฟื้นฟูกิจการ การบินไทยได้ก้าวขึ้นสู่เส้นทางบินที่ไม่มีการแข่งขันสูงด้วยฝูงบินและเครื่องยนต์ที่ลดจำนวนลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (เหลือ 5 รุ่นจาก 9 รุ่นในปี 62) เน้นเส้นทางที่ทำกำไรเป็นหลัก และลดจำนวนพนักงานลงถึง 50% ดาวน์ไซด์ ได้แก่ การแทรกแซงจากภาครัฐโดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อเครื่องบิน ราคาน้ำมันที่ผันผวน และความไม่สงบทั่วโลก
THAI วางแผนใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์และสถานะสายการบินแห่งชาติ โดยมีแผนขยายฝูงบินเพิ่มขึ้น 50% ภายใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ต่อผู้โดยสาร (Yield) และอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load factor) ที่ดีกว่าคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะเส้นทางยุโรปและญี่ปุ่น ทั้งนี้ Yield หลังโควิดของ THAI ยังคงแข็งแกร่ง โดยลดลงน้อยกว่าคู่แข่งในช่วงปี 66-67 อีกทั้งยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนเพิ่มเติมและการเติบโตของรายได้จากพันธมิตรร่วมรหัสเที่ยวบิน (codeshare partners)
Yield ต่อผู้โดยสารลดลงบางส่วน แต่ชดเชยด้วยการควบคุมต้นทุน
จากการที่มีเครื่องบินใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะจากสายการบินแห่งชาติของจีนและตะวันออกกลาง เราคาดว่า Yield ต่อผู้โดยสารของ THAI จะลดลงจาก 3.0 บาท/ RPK ในปี 6667เหลือ 2.8 บาท/ RPK ในปี 68-70 อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรของ THAI จะยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากฐานต้นทุนที่ต่ำ อีกทั้ง CASK มีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ยังมีอัพไซด์จากการประหยัดน้ำมันด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ ช่องทางการขายตรงที่เพิ่มขึ้น และการมีศูนย์ซ่อมบำรุงของตัวเอง ซึ่งสามารถชดเชยผลกระทบจาก Yield ที่ลดลงได้
ครบทุกองค์ประกอบที่นักลงทุนมองหา
เราเชื่อว่าสถานะทางธุรกิจ ฐานะการเงิน และผลประกอบการของการบินไทย ทำให้เป็นหุ้นสายการบินที่น่าลงทุน ประกอบด้วย อัตราส่วน P/E ที่ต่ำ (3.5 เท่า) อัตราผลตอบแทนจากกระแสเงินสดอิสระ (FCF yield) สูงถึง 9% งบดุลที่แข็งแกร่ง (อัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ -0.02 เท่า) อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน (ROIC) ที่สูงถึง 19% และทีมผู้บริหารที่มีความสามารถ ซึ่งสามารถพาบริษัทผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้อย่างดี
*** บัวหลวงมอง ปรับฝูงบิน ขยายเส้นทาง หนุนผลงานฟื้นตัวแกร่ง
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า THAI ปรับโฉมและขยายฝูงบินเพื่อรองรับการเติบโตระยะยาวบริษัทมีแผนปรับโครงสร้างฝูงบิน โดยลดจำนวนแบบเครื่องบินจาก 8 รุ่น เหลือ 4 รุ่น และลดจำนวนประเภทเครื่องยนต์จาก 9 เหลือ 5 ประเภทในระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน และตั้งเป้าขยายฝูงบินจาก 78 ลำ ณ สิ้นเดือน มี.ค. 68 เป็น 93 ลำในปี 69 และ 137 ลำในปี 72
ขยายเส้นทางบินรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยการบินไทยมีแผนขยายเส้นทางบินจาก 63 แห่ง (ใน 27 ประเทศ) ในไตรมาส 1/68 เป็น 94 แห่งในปี 72 ครอบคลุมทั้งเอเชีย ยุโรป และออสเตรเลีย
สถานะทางการเงินหลังฟื้นฟูกิจการแข็งแกร่ง ผลประกอบการของการบินไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี66 โดยผลการดำเนินงานพลิกกลับจากขาดทุนกว่า 1.61 หมื่นล้านบาทในปี 62
เราคาดการณ์เบื้องต้นว่ากำไรสุทธิของปี 68 อยู่ที่ 1.82.5 หมื่นล้านบาท โดยราคาเป้าหมายเบื้องต้น 3.2-7.90 บาทต่อหุ้น ภายใต้กรณีเปรียบเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรม โดยมี 2 สมมติฐาน:
1) กรณี base case กำไรปกติอยู่ที่ระดับ 2.15 หมื่นล้านบาท
2) กรณีกำไรหลักต่ำกว่ากรณี base-case จะได้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 68 ที่ 5.506.80 บาทต่อหุ้น
*** หยวนต้า มองกำไรปกติจะแตะ 3 หมื่นลบ.ในปีหน้า ให้เป้า 10.70 บ.
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การเข้าแผนฟื้นฟูกิจการเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ พ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจสู่ก้าวใหม่ในฐานะบริษัทเอกชนที่ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคล่องตัว และโปร่งใส โดยTHAI ลดขนาดองค์กรและฝูงบินไปจำนวนมาก รวมถึงปรับโครงสร้างทุนและทยอยจ่ายหนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น เมื่อรวมเงินสดและรายการเทียบเท่าถือเป็น Net Cash Company
เราประเมิน THAI จะได้ประโยชน์จากดีมานด์การเดินทางที่เพิ่มขึ้นตามภาพอุตสาหกรรมและจากแผนการเป็นAviation Hub ของภาครัฐฯ การขยายเครือข่ายการบินจะหนุนให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นและรองรับการขยายฝูงบิน
เราคาดกำไรปกติปี 68-70 ที่ 2.8 หมื่นลบ. (+27% YoY), 3.0 หมื่นลบ.(+5% YoY) และ 3.1 หมื่นลบ. (+4%YoY) ตามลำดับ เริ่มต้นคำแนะนำ "ซื้อ" ประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2026 ที่ 10.70 บาท (อิง EV/EBITDA ที่ 7 เก่า)
*** พาย ให้เป้าหมาย 9.6 บ. บน PE 9.6 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เราประเมินมูลค่าเหมาะสมของการบินไทยอยู่ที่ 9.6 บาท ด้วยวิธี PER ที่อิงกับค่าเฉลี่ยของสายการบินในภูมิภาคที่ระดับ 9.6 เท่า โดยมองว่าแนวโน้มของการบินไทยจะเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้หลังจากผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจที่ทำให้ช่วยลดต้นทุนลงได้อย่างมาก รวมถึงการปรับรูปแบบการให้บริการเส้นทางที่ใช้ระบบเครือข่าย (Network) มากขึ้น ทำให้เพิ่มจำนวนผู้โดยสารและค่าโดยสารได้อย่างมากอีกทั้งการบินไทยยังมีแผนที่จะจัดหาฝูงบินเพิ่มเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
โดยเราประเมินรายได้ปี 68-69 อยู่ที่ 189,936 ล้านบาท (+4%YoY) และ 201,502 ล้านบาท (+6%YoY) ส่วนกำไรปกติคาดเติบโตที่ระดับ 35%YoY และ 2%YoY มาอยู่ที่ 28,244 ล้านบาทและ 28,811 ล้านบาท
*** ฟินันเซีย จับตา DE ลดเหลือ 0.5 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) THAI กลับมาเทรดวันนี้ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อการบินระดับภูมิภาคเพื่อเพิ่มจำนวนผู้โดยสารและตั้งเป้าแย่งส่วนแบ่งตลาดที่สนามบินสุวรรณภูมิกลับมาที่ 37% (ปี 67 อยู่ที่ 26%) ท่ามกลางการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เราคาดว่ากำไรปกติของ THAI จะเติบโต 15% ในปี 68 ที่ 2.47 หมื่นลบ. ตามปริมาณผู้โดยสารที่เติบโต ส่วนปี 69-70 คาดเติบโตราว 5% ต่อปี ขณะที่ต้นทุนเชื้อเพลิงและดอกเบี้ยจ่ายลดลง ส่วน D/E Ratio คาดลดลงจาก 10.4 เท่า เหลือ 0.5 เท่าในปี 68-70 ขณะที่กระแสเงินสดแข็งแรงเพียงพอต่อการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟู เราประเมินมูลค่า THAI อ้างอิง PE 10.3 เท่า ได้ราคาเป้าหมาย 9 บาท
เรียบเรียง โดย สุรเมธี มณีสุโข
อีเมล์. suramatee@efnancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ