THCOM งบ Q2/68 พลิกขาดทุนสุทธิ 207 ล้าน เซ่นเงินบาทแข็งค่า
บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีผลขาดทุนส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ จำนวน 207 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยจากอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในไตรมาส 2/2568 โดยสถานการณ์การแข็งค่าของค่าเงินบาทดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก รวมถึงบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม บริษัทตระหนักถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบ เช่น การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 2/2568 บริษัทสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 14 ล้านบาท สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย
หากพิจารณาเฉพาะธุรกิจด้านดาวเทียม บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่รวมธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมและส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจโทรคมนาคมจำนวน 38 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติ 24 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจหลัก
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ จำนวน 535 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 35 ล้านบาท เติบโต 7% จากไตรมาสก่อน ที่มีรายได้จำนวน 500 ล้านบาท เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ของโครงการของบริษัท ได้แก่ รายได้จากโครงการควบคุมดาวเทียมสำหรับดาวเทียมไทยคม 4 และไทยคม 6 จาก บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ซึ่งบริษัทเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับปัจจัยหนุนจากการทยอยกลับเข้ามาของรายได้จากโครงการ USO ระยะที่ 2 ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายและการให้บริการ ปรับตัวลดลง 16.2% เกิดจากการสิ้นสุดของโครงการ USO ระยะที่ 2
ในไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจ Space Tech ผ่านโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตรให้แก่สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) และโครงการโดรนให้แก่สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ (GISTDA) รวมถึงความคืบหน้าของโครงการ ‘CarbonWatch’ ผ่านการร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของประเทศ ได้แก่ GGC, CPAC, บริษัทในเครือ SCG และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของบริษัทในการขยายฐานรายได้อย่างต่อเนื่องและการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์ในต่างประเทศ ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในการร่วมค้าปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก บริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ มหาชน หรือ LTC มีกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการปรับโครงสร้างราคาค่าบริการโทรคมนาคมของกระทรวงคมนาคมและการสื่อสาร
ทั้งนี้ แม้ว่าสกุลเงินกีบจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทยังคงรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้า เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เกิดจากดอกเบี้ยจ่ายที่ บริษัท เชนนิงตัน อินเวสเม้นท์ส พีทีอี จำกัด
อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งขาดทุนปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งลดลงมากถึง 78.0% เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จำนวน 41 ล้านบาท และลดลง 66.7% เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าในไตรมาสก่อน จำนวน 27 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุน จำนวน 9 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567
ส่วนผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมีผลขาดทุนส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ จำนวน 88 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายและการให้บริการ จำนวน 1,034 ล้านบาท ลดลงจำนวน 213 ล้านบาท หรือลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จำนวน 1,247 ล้านบาท