ติดอาวุธSMEฉบับ‘สงคราม ส่งด่วน’
คงต้องบอกว่า ช่วงนี้ซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” กำลังได้รับความนิยม เพราะสะท้อนภาพการแข่งขันที่เข้มข้นในโลกของธุรกิจที่ต้องส่งของ ส่งไว ส่งแม่น และต้นทุนต่ำ แต่สิ่งที่ซีรีส์สะท้อนออกมาจริงๆ ไม่ใช่แค่โลกของโลจิสติกส์เท่านั้น แต่คือเรื่องจริงของธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีรถต้องบริหารจัดการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสำคัญ ไม่ว่าจะส่งสินค้าทั่วไป ส่งอาหาร ส่งอุปกรณ์ก่อสร้าง หรือแม้แต่ธุรกิจบริการที่ต้องใช้รถวิ่งหาลูกค้า การมีรถคือจุดเริ่มต้น แต่การบริหารจัดการรถให้ดีนี่เอง คือ ส่วนหนึ่งของชัยชนะในสนามธุรกิจจริง โดยจากกระแสยอดฮิตของตัวซีรีส์ ทำให้ finbiz by ttb มีคำนำดีๆ ซึ่งเป็นเรื่องจริงของการบริหารจัดการรถในวงการธุรกิจมาขยายความ และหาอาวุธมาสร้างความได้เปรียบให้กับธุรกิจ
ผู้ประกอบการในหลายๆ ธุรกิจที่อาจไม่ได้มีธุรกิจหลักที่ต้องใช้การเดินรถ อาจจะมองว่าไม่สำคัญอะไรเลย แต่ความจริงคือ รถ 1 คัน แบกต้นทุนซ่อนอยู่มากมาย ทั้งค่าน้ำมัน การซ่อมบำรุง เส้นทางที่ไม่คุ้ม หรือการใช้รถอย่างไร้ระบบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือต้นทุนที่พร้อมจะกัดกินกำไรแบบไม่รู้ตัว
สำหรับปัญหาสุดคลาสสิกของธุรกิจที่มีรถก็มีหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไม่คุ้ม วิ่งอ้อม เสียทั้งเวลาและน้ำมัน ถ้าไม่มีระบบวางแผนเส้นทาง หรือแม้แต่แค่ GPS ดีๆ ธุรกิจอาจเสียต้นทุนไป 10-20% โดยไม่รู้ตัว แถมช่วงชั่วโมงเร่งด่วนในกรุงเทพฯ อาจเพิ่มเวลาการเดินทางไปถึง 25% นั่นหมายถึง เสียทั้งเวลาและน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย
รวมถึงค่าน้ำมันที่ไม่แน่นอน ขึ้นบ้างลงบ้าง แต่รายรับไม่ขึ้นตาม ธุรกิจที่ใช้รถในการดำเนินงาน ทั้งการขนส่ง หรือรถสำหรับขับไปพบลูกค้าของพนักงานขายนั้น ล้วนมีค่าน้ำมันซึ่งเป็นหนึ่งในต้นทุนหลัก ข้อมูลจากกรมธุรกิจพลังงานระบุว่า ราคาน้ำมันปี 2024 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15–18% จากปีก่อน หากไม่จัดการดี ๆ ต้นทุนเพิ่ม กำไรลดอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมคุณภาพน้ำมันที่พนักงานเติมไม่ได้ หลายธุรกิจเจอปัญหาคลาสสิก เช่น เติมน้ำมันคุณภาพต่ำ ออกใบเสร็จเกินราคา หรือบางครั้งใบเสร็จหายไปเลยก็มี ซึ่งส่งผลทั้งเรื่องเครื่องยนต์และความโปร่งใสทางบัญชี ยิ่งไม่มีระบบควบคุม ยิ่งเปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้มากขึ้น อีกทั้งการเติมน้ำมันที่ไม่ได้คุณภาพอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เครื่องยนต์เสียหาย และส่งผลให้ต้นทุนซ่อมบำรุงพุ่งสูงขึ้นถึง 8-10% ของรายจ่ายต่อคันต่อปี
แถมรถยังเสียบ่อยเพราะขาดการดูแล หรือใช้งานเกินอายุ รถไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือ “ต้นทุนใหญ่” หากไม่มีการบำรุงรักษาตามรอบ หรือไม่วางแผนเปลี่ยนรถให้เหมาะสม ธุรกิจอาจต้องเสียค่าซ่อมเฉลี่ย 3,000-10,000 บาทต่อครั้ง การไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนด หรือไม่เช็กสภาพยาง ลม เบรก ฯลฯ คือสาเหตุหลักที่ทำให้รถเสีย เฉลี่ย 1 ครั้งต่อเดือนต่อคัน ซึ่งอาจพลาดโอกาสหารายได้ในวันนั้น หรือพลาดโอกาสไปพบลูกค้าสำคัญไปเลยก็ได้
สุดท้ายคือไม่มีข้อมูลต้นทุนจริง ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ธุรกิจไม่ได้ หลายเอสเอ็มอียังใช้วิธี “เก็บใบเสร็จเอง” หรือ “จดบันทึกด้วยมือ” ว่าเติมไปเท่าไหร่ รถวิ่งวันไหน เสียค่าซ่อมอะไร ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ไม่รู้ว่าต้นทุนจริงของรถแต่ละคันคือเท่าไหร่ จึงทำให้ขาดข้อมูลเพื่อวางแผนอนาคต
แน่นอนว่า ก็ต้องมีกลยุทธ์การวางแผน ควบคุมค่าใช้จ่ายตามสไตล์ธุรกิจที่ใช้รถ ธุรกิจไม่จำเป็นต้องใหญ่ถึงขั้นมีศูนย์ควบคุมรถเหมือนบริษัทขนส่ง แต่การใช้เครื่องมือที่ถูกต้องคือคำตอบ ไม่ว่าธุรกิจจะมีรถแค่ 1 คัน หรือ 10 คัน หรือเป็นหลักร้อย ธุรกิจก็ต้องคอนโทรลได้ และทราบค่าใช้จ่ายที่แท้จริง เพื่อให้สามารถวางแผนธุรกิจได้ ดังนั้นต้องเริ่มวางแผน 3 เรื่อง 1.วางแผนเส้นทางและติดตามรถ เริ่มง่ายๆ ด้วยแอปพลิเคชันที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น Google Maps ร่วมกับระบบแชร์โลเกชันกับทีม หรือใช้ซอฟต์แวร์ Route Optimization ราคาประหยัด เพื่อวางแผนรอบวิ่งให้คุ้มที่สุดต่อวัน
ส่วน 2.วางแผนควบคุมการใช้พลังงานเชื้อเพลิงสำหรับรถ สำหรับรถสันดาปที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ได้น้ำมันคุณภาพตามที่บริษัทต้องการ การใช้บัตรเครดิตน้ำมันที่ระบุสถานีบริการน้ำมันได้ และมีโครงข่ายทั่วประเทศ ก็ตอบโจทย์ในด้านนี้ และยังมีรายงานบันทึกต้นทุนอย่างแม่นยำ เพื่อใช้ข้อมูลในการประกอบการซ่อมบำรุง หรือพิจารณาเรื่องการซื้อรถใหม่ และ 3.วางแผนบำรุงรักษาและเปลี่ยนรถตามรอบ ตรวจสอบและวางแผนบำรุงรักษารถไว้ล่วงหน้า (เช่น ตรวจสภาพทุก 6 เดือน/10,000 กม.) และวางแผนการเปลี่ยนรถ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถพิจารณาที่จะซื้อหรือเช่า ตามลักษณะการใช้งาน วางแผนใช้สินเชื่อเช่าซื้อหรือลีสซิ่ง เพื่อเปลี่ยนรถเก่าเป็นรถใหม่ หรือรถยนต์พลังงานอื่นๆ ที่ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น.
รุ่งนภา สารพิน