บุกทำเนียบฯจี้เร่งจ่ายเยียวยา
ชาวบ้านศรีสะเกษบุกทำเนียบฯ จี้รัฐบาลเร่งเยียวยา ปชช. หลังต้องอพยพจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ทำขาดรายได้ "ภูมิธรรม“ ซัด ผวจ.อ้างเบิกจ่ายงบไม่ได้ก็ให้คนอื่นมาทำแทน จ่อชง ครม.ขยายงบเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตเพิ่ม หลังสะพัดจ่ายเพิ่มรายละ 8-10 ล้านบาท "พปชร." แนะญาติผู้เสียชีวิต-ทรัพย์สินเสียหายฟ้องดำเนินคดี "ฮุน เซน" ชี้ทำผิดเกี่ยวกับความมั่นคงนอกราชอาณาจักร ประสาน "อินเตอร์โพล" ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงาน ก.พ. ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนรับเรื่องร้องเรียนแทนนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี จากประชาชนชาวอำเภอภูสิงห์ และอำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ นำโดยนางอภิญญา พลแก้ว ผู้ใหญ่บ้านห้วยตึ๊กชู อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือและเยียวยาทหารที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
นางอภิญญากล่าวว่า ชาว อ.ภูสิงห์ และ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนมาอยู่ที่ศูนย์อพยพ เหลือไว้เพียงชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และผู้ชายที่อยู่เฝ้าดูแลบ้าน แต่เนื่องจากอพยพมาเป็นเวลาหลายวันแล้วทำให้ขาดรายได้ จากที่ได้กรีดยางทุกวันก็ไม่ได้กรีด และด้วยเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน คนที่เฝ้าอยู่ในพื้นที่ต้องดูแลกันเองเท่าที่จะทำได้ก่อน จึงอยากให้รัฐบาลเร่งรัดการเยียวยาในทุกๆ ด้าน ทั้งผู้เสียชีวิตที่ได้มีการเยียวยาช่วยเหลือแล้ว รวมถึงคนที่ยังอยู่ด้วย
"ส่วนในพื้นที่ขณะนี้ประชาชนเริ่มเดินทางกลับบ้านบ้างแล้ว แม้ว่าคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่ได้สั่งให้เข้าพื้นที่ แต่หลายคนเป็นห่วงบ้านก็อยากจะกลับไปดู และวันที่ 4 ส.ค.ที่จะมีการเจรจากันในการประชุมระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ชาวบ้านยังอยู่ด้วยความอกสั่นขวัญหาย เพราะไม่รู้ว่าเสียงระเบิดจะดังอีกตอนไหน" นางอภิญญากล่าว
ด้านนายสมคิดกล่าวว่า ในส่วนของผู้เสียชีวิตรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลืออยู่แล้ว คาดว่าวันที่ 5 ส.ค.จะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรีมีเงินกองทุนช่วยเหลืออยู่แล้ว เข้าใจว่า 1 ล้านบาท ส่วนผู้บาดเจ็บก็ลดหลั่นลงมา ขณะที่ความเดือดร้อนส่วนอื่นๆ จะเร่งดำเนินการประสานไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้องให้ช่วยเยียวยาเร็วที่สุด
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าเท่าที่รับฟังและตรวจสอบ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดเขาบอกว่าทำแล้ว แต่ขณะที่ สส.พรรคภูมิใจไทยระบุว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่สามารถเบิกงบเยียวยาได้ จึงทำ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ได้โทรศัพท์หา ผวจ.อุบลราชธานีในทันที ซึ่ง ผวจ.อุบลฯ บอกว่าจ่ายหมดแล้ว ดังนั้นเรื่องข้อมูลตนมองว่าต้องฟังหูไว้หู เพราะเท่าที่ฟังใน ณ ขณะนี้ ผวจ.จ่ายเยียวยาหมดแล้ว แต่หากมีข้อมูลยืนยันว่า ผวจ.ไม่ทำก็ต้องรับผิดชอบ
ส่วนจะขอดูเรื่องงบประมาณที่เบิกจ่ายจริงหรือไม่ เนื่องจากมีการกล่าวว่าถึงเวลาแล้วไม่สามารถเบิกจ่ายได้ นายภูมิธรรมย้ำว่า "ถ้าทำไม่ได้ก็ให้คนอื่นมาทำแทนก็เท่านั้น"
ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามย้ำถึงกรณีการเยียวยาประชาชนที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา นายภูมิธรรมกล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการพิจารณาขยายเงินเยียวยาเพิ่มเติมแล้ว หลังได้ข้อตกลงจากคณะกรรมการพิจารณาให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับเงินเยียวยา 1 ล้านบาท แต่จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เพื่อหารือ ซึ่งจะเป็นเท่าใดนั้นยังไม่ขอเปิดเผยได้ ขอให้รอฟังผลการลงมติที่ประชุม ครม. ส่วนกระแสข่าวที่จะอนุมัติวงเงินรายละ 8-10 ล้านบาทนั้น นายภูมิธรรมย้ำคำเดิมว่า ขอให้รอมติที่ประชุม ครม.จะอนุมัติเท่าไหร่นั้นตนยังไม่ทราบ
พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะอดีต ผบ.ทบ.ได้ลงไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจทหารกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 และพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการสู้รบที่ อ.เมืองสุรินทร์ เพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ได้พบกับปัญหาการสูญเสียชีวิตประชาชนและทหาร โดยมีประชาชนเสียชีวิต 17 ราย บาดเจ็บสาหัส 12 ราย บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย (รวม 52 ราย) ทีมงานกฎหมาย พปชร.พิจารณาแล้วเห็นว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฏทางสื่อสังคมออนไลน์ทั้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ของทางการกัมพูชา และของสมเด็จฮุน เซน ปรากฏพยานหลักฐานทั้งภาพและข้อความ ที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของสมเด็จฮุน เซน ในการสั่งกาและบัญชาการรบเอง
ดังนั้น การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา อันเป็นความผิดตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 83, 84, 86, 288 และมาตรา 289 และยังเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับความมั่นคงนอกราชอาณาจักร ตาม ป.วิ.อาญา ม.119, 120, 127, 128 และ ม.129 อีกด้วย การที่สมเด็จฮุน เซน ได้วางแผนการรบ สั่งการ และให้การสนับสนุนดังกล่าว ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด ตามมาตรา 119, 120, 127 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น (ตามมาตรา 129) จึงเสนอแนะญาติผู้เสียชีวิต และทรัพย์สินเสียหายให้ฟ้องดำเนินคดีกับสมเด็จฮุน เซน ตามกฎหมาย
อาจมีการโต้แย้งว่า การสั่งการของสมเด็จฮุน เซน เป็นการกระทำผิดนอกประเทศไทย กรณีดังกล่าวแม้ว่าการกระทำผิดของนายฮุน เซน จะเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย แต่สามารถดำเนินคดีและรับโทษในประเทศได้ ตามมาตรา 7 และ 8 ป.วิ.อาญา ซึ่งคดีดังกล่าว อัยการสูงสุดจะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และมั่นใจว่าอัยการสูงสุดท่านปัจจุบัน ท่านเห็นแก่ความสูญเสียของประชาชนชาวไทย มากกว่าประเทศกัมพูชาแน่นอน
พล.ต.ท.ปิยะกล่าวอีกว่า หากศาลได้ออกหมายจับสมเด็จฮุน เซน กับพวก ก็สามารถส่งหมายจับดังกล่าวไปยังตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพล เพื่อให้ประเทศที่อยู่ในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยได้ ซึ่งญาติผู้เสียชีวิตสามารถดำเนินคดีได้ทั้งคดีอาญา และฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากสมเด็จฮุน เซน และกัมพูชาได้ โดยเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยจะต้องเป็นตัวกลาง ในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนในครั้งนี้.