Introvert ก็เก่งได้ เปิดสูตรโกง 8 ข้อพัฒนาตัวเองสู่ความสำเร็จ
ในที่ทำงาน คนที่มีบุคลิกแบบเก็บตัว (Introvert) มักถูกมองว่า "มีความสามารถน้อยกว่า" คนบุคลิกแบบเปิดเผย (Extrovert)? ลองจินตนาการว่าคุณต้องนำทีม ทำงานได้ดีทุกอย่าง แต่เจ้านายกลับไม่เห็นความสามารถของคุณ เพียงเพราะคุณเงียบกว่า… แต่รู้หรือไหม? นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคเสียทีเดียว เพราะหาก Introvert รู้จักบริหารพลังงานให้ดี ก็สามารถก้าวหน้าและความสำเร็จในอาชีพการงานได้ไม่แพ้ใคร
ทั้งนี้ หากพูดถึงอาชีพหรือสายงานที่ต้องใช้ทักษะด้านสังคมสูง เช่น งานขาย การสอน หรือการดูแลสุขภาพ คนมักนึกถึงบุคลิกแบบมั่นใจ คล่องแคล่ว พูดเก่ง แต่ในความเป็นจริง คนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพเหล่านี้ มีจำนวนไม่น้อยที่เป็น “คนเงียบๆ” ซึ่งพวกเขาโดดเด่นเรื่องการคิดวิเคราะห์ลึกซึ้ง มีเวลาทบทวนตัวเอง และสร้างความสัมพันธ์จริงใจแบบตัวต่อตัวได้ดีกว่าคนบุคลิกภาพอื่น
สำหรับคน Introvert มักจะเป็นคนที่มีพลังงานทางอารมณ์ หรือพลังงานในการเข้าสังคมน้อยกว่า Extrovert ซึ่งงานในสังคมที่ทำงานก็อย่างเช่น การประชุม การพูดคุย การนำเสนอ หรือตอบสนองลูกค้า ฯลฯ งานเหล่านี้ล้วนดึงพลังงานจากคนบุคลิกภาพแบบเก็บตัวไปอย่างมาก จนอาจไม่เหลือไปใช้ในการโฟกัสและฟื้นฟูตัวเอง
ดังนั้น หากคนกลุ่มนี้ขาดการดูแลตัวเองที่ดี หรือไม่รู้จักตั้งขอบเขตให้ชัด สิ่งเหล่านี้อาจสะสมจนกลายเป็นความเหนื่อยล้าเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะหมดไฟ (burnout) ได้ในที่สุด
ดร.ซินเทีย เจ. ยัง (Dr.Cynthia J. Young) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ CJ Young Consulting, LLC ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการจัดการความรู้ ที่ปรึกษาทางอาชีพและความเป็นผู้นำ ในฐานะที่เธอก็คน Introvert ที่ต้องทำงานพบปะกับลูกค้าทุกวัน ต้องทำงานเข้าสังคมบ่อยๆ แต่เธอยังคงบริหารจัดการตัวเองได้ดีและเติบโตก้าวหน้าในสายอาชีพ
โดยเธอค้นพบว่า มี 8 กลยุทธ์ ช่วยให้ทั้งเรื่องการทำงาน และแม้แต่ในชีวิตคู่ (ที่มีคู่รักเป็น Extrovert สุดขั้ว) ราบรื่นและให้ประสบความสำเร็จได้ ถ้ารู้จักบริหารพลังงานให้ดี ก็จะสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพตั้งแต่เริ่มต้นวันทำงานจนถึงเวลาเลิกงานกลับบ้าน ซึ่งเธอได้แชร์เคล็ดลับเหล่านั้น ดังนี้
1. สังเกตสัญญาณเตือนให้เร็ว ก่อนสายเกินไป
คนเก็บตัวมัก “ฝืนเก่ง” เพื่อให้ตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้คนในที่ทำงาน แต่การฝืนตลอดเวลาไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง หงุดหงิดง่าย สมองตื้อ หรือเกิดหมดสนุกกับสิ่งที่เคยชอบ ล้วนเป็นสัญญาณเริ่มต้นของ burnout
คำแนะนำ: เช็กพลังงานตัวเองทุกวัน ลองถามตัวเองตอนจบวันว่า “อะไรในวันนี้ดูดพลังฉันไป?” “อะไรทำให้รู้สึกมีพลังมากขึ้น?” ลองจดไว้ติดต่อกันสักสัปดาห์ เพื่อดูว่ามีรูปแบบซ้ำๆ หรือเปล่า การรู้จักอารมณ์และพลังงานตัวเองคือก้าวแรกของการป้องกันภาวะหมดไฟ คุณอาจลองขอลางานส่วนตัวบ้าง แทนที่จะหวังแค่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์
2. เคารพจังหวะพลังงานของตัวเอง
คน Introvert ต่างจากคน Extrovert อย่างชัดเจนตรงที่ คนบุคลิกภาพแบบเปิดเผยหากยิ่งเข้าสังคมพวกเขาก็ยิ่งมีพลังงาน ขณะที่คนเก็บตัวจะชาร์จแบตพลังงานตนเองได้จากความเงียบและเวลาส่วนตัว
คำแนะนำ: วางแผนเวลาสำหรับการอยู่เงียบๆ กับตัวเองไว้ในตารางงาน ก่อนที่จะรู้สึกหมดแรงในวันนั้นๆ อาจจะแบ่งเวลาไว้สัก 15-30 นาที เพื่อเป็นเวลาส่วนตัวเหมือนเป็นนัดสำคัญ แล้วใช้เวลาเหล่านั้นไปเดินเล่น ฟังเพลง ดูหนังสตรีมมิ่งสักครู่ หรือกินข้าวเงียบๆ ฯลฯ ในช่วงเวลาสั้นๆ เหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาทสงบลง บูสต์สมองและความคิดให้กลับมาเฉียบคมชัดเจน
3. ตั้งเกราะป้องกันการทำงานแบบเข้าสังคม
เนื้องานบางงานมีความคาดหวังให้พนักงานร่วมกิจกรรมหลังเลิกงานมากมาย จนทำให้ Introvert รู้สึกหมดแรงโดยไม่จำเป็น
คำแนะนำ: คุณสามารถไปร่วมงานหรือกิจกรรมเหล่านั้นได้ แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่จนจบ โดยเฉพาะงานนอกเวลางาน ถ้าเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชิงธุรกิจ อาจต้องอยู่จนจบ แต่ถ้าเป็นงานสังสรรค์ทั่วไป แค่ทักทายเจ้าภาพ พูดคุยกับคนสองคน แล้วขอตัวกลับอย่างสุภาพก็พอ ไม่มีใครจดเวลาว่าคุณอยู่นานแค่ไหน แต่เขาจะขอบคุณที่คุณ “มาให้เกียรติ”
4. บริหารพลังงานของตนเอง ไม่ใช่เวลา
การจัดการเวลาอาจทำให้คนคิดว่า ยิ่งอัดงานในตารางมากๆ ก็ยิ่งทำงานได้มาก มี Productivity มาก แต่สำหรับคนเก็บตัว ตัวแปรที่สำคัญไม่ใช่ “เวลา” แต่คือ “พลังงาน”
คำแนะนำ: วางงานที่ต้องใช้พลังทางสังคมไว้ช่วงพีคของพลังงาน (เช่น ช่วงสายถึงบ่ายต้นๆ) ส่วนงานที่ต้องใช้สมาธิ เช่น เขียน คิด วิเคราะห์ ให้จัดไว้ช่วงบ่ายแก่ๆ อย่าฝืนทำงานหนักหลังจากประชุมทั้งวัน พลังงานคุณจะหมดก่อนที่จะได้ทำงานให้เสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน
5. ตั้งขอบเขตการทำงานแบบนุ่มนวลแต่ชัดเจน
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนเก็บตัวหมดไฟเร็วที่สุด คือการตอบรับ “ใช่” กับการทำงานทุกอย่าง เพราะกลัวเสียภาพความร่วมมือในทีม หรือกลัวว่าเป็นคนไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
คำแนะนำ: ฝึกการปฏิเสธอย่างมืออาชีพ เช่น “ยินดีช่วยนะ แต่ขอทำอีกงานให้เสร็จก่อนได้ไหม” หรือ “ขอตอบพรุ่งนี้ได้ไหม จะได้ตั้งใจโฟกัสเต็มที่” หรือ “ขอโทษจริง ๆ วันนั้นมีนัดเลยไปงานไม่ได้” ฯลฯ เป้าหมายไม่ใช่การตัดขาดจากทีม แต่คือการปกป้องพลังงาน เพื่อให้คุณอยู่ตรงนั้นอย่างเต็มที่ เมื่อถึงเวลาที่สำคัญจริงๆ
6. สร้างภาพลักษณ์แบบเงียบๆ ตามสไตล์คุณ
คนที่มีความโดดเด่นในที่ทำงานไม่ได้แปลว่า ต้องเป็นคนพูดจาเสียงดังเสมอไป แต่คนเก็บตัวก็สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ทีมได้ ผ่านบทสนทนาแบบลึกๆ ที่มีเป้าหมาย และใช้ความคิดอย่างรอบคอบ
คำแนะนำ: แชร์ผลงานหรือความเห็นของคุณผ่านการเขียน ใช้การสื่อสารแบบมีโครงสร้างเพื่อแสดงคุณค่าให้ชัดเจน ลองขอคุยกับหัวหน้าอย่างเป็นระบบ เช่น ขอให้ช่วยประเมินผลงานทุกเดือน แทนการรอให้เขา “สังเกตเห็น” ผลงานของคุณจากการพบกันแบบไม่เป็นทางการ
7. วางแผนฟื้นฟูพลังงานอย่างจริงจัง
ก็เหมือนนักกีฬามืออาชีพที่ต้องมีวันหยุดพัก หลังจากทุ่มเวลาให้การซ้อมอย่างหนัก ชาว Introvert ก็ต้องมี "จังหวะถอย" ที่ชัดเจนเช่นกัน เพื่อให้กลับมามีพลังในวันถัดไป ไม่อย่างนั้น ความเครียดจะสะสมแบบไม่รู้ตัว และกลายเป็นหมดแรงจนเบิร์นเอาท์ตามมา
คำแนะนำ: สร้างกิจกรรมเล็กๆ ที่ช่วยให้คุณ “ปิดโหมดทางสังคม” ของแต่ละวัน เช่น เดินเล่น อาบน้ำ เขียนบันทึก หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบายๆ ฯลฯ โดยต้องทำให้เป็นกิจวัตรสม่ำเสมอ ให้สมองรู้ว่า “หมดวันแล้ว” หรืออาจเลือกขับรถกลับบ้านเส้นทางไกลขึ้น เพื่อมีเวลาคิดอะไรคนเดียว
8. มองหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับคุณ
ถ้างานที่ทำอยู่ “ดูดพลัง” คุณตลอดเวลา อาจไม่ใช่เพราะเนื้องาน แต่เป็นเพราะ “สภาพแวดล้อม” ไม่เหมาะกับสไตล์ของคุณ
คำแนะนำ: ลองคุยกับหัวหน้าเรื่องความยืดหยุ่น เช่น ลดจำนวนการประชุม ขอวันทำงานจากบ้านมากขึ้น หรือใช้วิธีทำงานแบบไม่ต้องออนไลน์พร้อมกัน (asynchronous) หากกำลังมองหางานใหม่ ลองถามให้แน่ชัดถึงวัฒนธรรมการประชุม และการสื่อสารในทีม
โดยสรุปคือ การเป็นคน Introvert ไม่ได้แปลว่า คุณไม่มีพลังหรือจะไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่เป็นคนที่มักจะมีพลังแห่ง “ความนิ่ง” ที่หาได้ยากในสังคมวุ่นวาย เช่น ความสงบ การโฟกัส ความเห็นอกเห็นใจ และความรอบคอบ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติสำคัญในหลกหลายสายงาน
เพียงแต่… คนบุคลิกภาพแบบนี้ พวกเขาต้องการการดูแลและบริหารพลังงานภายในที่แตกต่างจากคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม คนเก็บตัวไม่ควรมองว่าการดูแลตัวเองคือความเห็นแก่ตัว เพราะมันคือวิธีเดียวที่จะทำให้คุณยังคงอยู่ตรงนั้น เพื่อคนอื่นได้อย่างดีที่สุด โดยที่ยังเป็นตัวของตัวเองได้
อ้างอิง: Forbes