KTC ตาอินกับตานา....ผู้ถูก“ไอ้โม่ง”ลักปลาไปกิน!
*** ใครจะเชื่อว่า บมจ. บัตรกรุงไทย หรือ KTC บริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนี SET50 มานาน และไม่กี่เดือนก่อนหน้าเคยมีมาร์เก็ตแคปมูลค่าสูงกว่าแสนล้านบาท จะต้องมาสะดุดขาตัวเองอย่างเหลือเชื่อ ด้วยการถูก Force Sell (บังคับขาย) จนราคาหุ้นร่วงติดฟลอร์ ต่อเนื่องกันเกือบ 3 วัน
และแม้จะมีสัญญาณขายออกมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่การร่วงลงหนักจนติดฟลอร์ในจังหวะพอดีกับที่ ก.ล.ต. ประกาศใช้มาตรการชั่วคราวเกี่ยวกับ Ceiling & Floor ที่ 15% เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ก็ทำให้ถูกตั้งคำถาม เพราะเป็นการร่วงติดฟลอร์ ทั้งที่พื้นฐานของบริษัทไม่มีจุดใดที่เป็นปัญหา รวมถึงลากเอาราคาหุ้นของ BEC XPG และ TPS ทำเอาผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ของบริษัทเหล่านี้ ทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรให้มีอันต้องมา “ซวย” ตามไปด้วย
กลับกัน…การที่ราคาหุ้นของ KTC ปรับราคาลงหนัก กลายเป็นเพียงปัญหาที่เกิดจากผู้ถือหุ้นใหญ่ระดับหมื่นล้าน อย่าง “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” ผู้ที่ถูกขานชื่อว่าเป็น “เทพวีไอ” ที่อาจบังเอิญ “ก้าวพลาด” ในแบบที่ตั้งใจหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้ได้…
นอกจากนี้ ถ้าพิจารณากันเฉพาะเรื่องตัวหุ้นใหญ่ที่สุด ในกลุ่มอย่าง KTC ที่ “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” เป็นผู้ถือหุ้น ก็พบว่า ในจังหวะก่อนที่ราคาหุ้นจะถึงจุด “กลับตัว” จากจุดต่ำสุดหลังสิ้นสุดมาตรการ Ceiling & Floor ที่ 15% ก็ปรากฏรายการขายหุ้นบิ๊กล็อต 9 รายการ จำนวน 90.50 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 1,750 ล้านบาท ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 19.34 บาท ขึ้นมาในกระบวนการซื้อขาย ทั้งที่ราคาหุ้นหน้ากระดานของ KTC ในจุดต่ำสุด ก็ลงลึกไปถึงแค่ 21.80 บาท เพียงเท่านั้น
หมายความว่า “ไอ้โม่ง” ที่ได้ “บิ๊กล็อต” ชุดนี้ไป ถ้าขายทันที่จะมีกำไรเข้ามาราว 220 ล้านบาท หรือ ถ้าหากขายหุ้นที่ได้มา ในราคาหุ้นปิดตลาดที่ 26.50 บาท ไอ้โม่งรายนี้จะ “ฟัน” กำไรถึง 647 ล้านบาท ในเวลาเพียงวันเดียว…
คำถามคือ…กระบวนการ Force ที่เกิดเหล่านี้ ถูกเตรียมการเอาไว้หรือไม่ ทำไมจึงเพิ่งจะมาพลาดในวันที่ ก.ล.ต. ประกาศใช้มาตรการชั่วคราว Ceiling & Floor ที่ 15% อย่างพอดิบพอดี ???
อย่างแรก ถ้าจะบอกว่า การที่ราคาหุ้นของ KTC ร่วงลงติดฟลอร์ ในจังหวะที่ ก.ล.ต. ประกาศใช้มาตรการชั่วคราวเกี่ยวกับ Ceiling & Floor ที่ 15% เป็นความตั้งใจหรือไม่ …เรื่องนี้คงต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้ง ก.ล.ต. และ มงคล ทั้งนี้ก็เนื่องจากมาตรการชั่วคราวที่ว่าเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ความไม่สงบ ในตะวันออกกลาง ที่ทาง ก.ล.ต. ประกาศใช้ ซึ่งก็ดันมาลงตัวกับจังหวะที่ราคาหุ้นของ KTC ถูก Force Sell (บังคับขาย) พอดี
อย่างที่สอง ในวันที่ 20 มิ.ย. 2568 พบว่า “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 2 ของ KTC จำนวน 327,466,600 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 12.70% มีมูลค่าพอร์ตเฉพาะในส่วนของ KTC อยู่ที่ 11,379 ล้านบาท
ทั้งนี้ "มงคล" ได้เข้าถือหุ้น KTC ประมาณ 29.6 ล้านหุ้น ตั้งแต่เดือน ม.ค.- ธ.ค. 2555 ที่ราคาเฉลี่ย 31 บาท/หุ้น ก่อนที่ปี 2557 จะลดจำนวนลงมาเหลือ 17.20 ล้านหุ้น และเพิ่มเป็น 42.7 ล้านหุ้นในปี 2560 ก่อนที่ KTC จะแตกพาร์ในอัตราส่วน 1 ต่อ 10 ในปี 2561 จนก้าวขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับที่ 2 ก่อนที่ KTC จะถูก Force Sell ซึ่งนั่นก็หมายความว่าราคาทุนต่อหุ้นของ “มงคล” อาจต่ำกว่าราคาหุ้นหน้ากระดานของ KTC
อย่างที่สาม พบว่า การที่ “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KTC ลำดับที่ 2 ตลอดเวลาที่ผ่านมามีการซื้อและขายหุ้นออกมาตลอด โดยล่าสุดเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นมากสุดในรอบ 4 ปี โดยในปี 2565 คิดเป็น 10.08% ปี 2566 คิดเป็น 10.01% ปี 2567 ถือหุ้นคิดเป็น 11.20% และล่าสุดในปี 2568 ถือคิดเป็น 12.70% และนอกจากนี้ยังพบว่า “มงคล” ได้ลงทุนเข้าไปถือหุ้นใน BEC คิดเป็น 4.83% ถือหุ้นใน TPS คิดเป็น 15.12% และถือหุ้นใน XPG คิดเป็น 6.09%
หมายความว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หาก “มงคล” มีเงินสดที่ไม่เพียงพอ ก็คงจะต้องใช้หุ้นตัวหนึ่งตัวใดที่มีอยู่ ไปวางจำนำเพื่อใช้ในการซื้อหลักทรัพย์ในลักษณะของ Margin loan (เงินกู้ยืมจากมาร์จิ้น) ซึ่งหุ้นตัวที่มีความเป็นไปได้มาก เนื่องจากมีมูลค่าสูงที่สุด ก็คือหุ้นของ KTC นั่นเอง…
ดังนั้น เมื่อเจ๊เมาธ์นำข้อมูลทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน ก็ประมาณการได้ว่า หลายปีที่ผ่านมา “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” อาจนำหุ้นของ KTC ไปจำนำเพื่อนำเงินมาลงทุนซื้อหุ้นของทั้ง KTC BEC TPS และ XPG
แต่เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าทั่วโลก ทำเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจไทยเกิดชะลอตัวอย่างหนัก
ขณะที่หุ้นของ KTC นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นถอยกว่า 30% ส่งผลให้ “มงคล” ถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) แต่เมื่อไม่มีเงิน หรือหลักทรัพย์ที่สามารถอัดเพิ่มเติมเข้าไปได้อีก การที่หุ้นของ KTC ถูกโบรกฯ ที่ปล่อยมาร์จิ้นสั่ง Force Sell จึงเกิดขึ้นตามมาในที่สุด
สรุปก็คือ “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” เดินเกมพลาด เพราะคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้น แต่เมื่อไม่ฟื้นจริงอย่างที่หวัง ก็ถูกสั่ง Force Sell ขณะเดียวกัน “ไอ้โม่ง” ที่ได้กำไรจาก “หุ้นบิ๊กล็อต” ของ KTC ที่ถูกปล่อยออกมา ก็ไม่ต่างไปจากการได้ “ส้มหล่น” เพราะมีเงินสดอยู่ในมือเตรียมรอไว้อยู่แล้ว
ถ้าจะเปรียบไป มงคล กับโบรกฯ ที่สั่ง Force Sell หุ้นของ KTC ก็เปรียบดัง “ตาอินกับตานา” ที่มัวแต่แย่งปลากันวุ่นวาย แต่ท้ายที่สุด “ไอ้โม่ง” กลับกลายเป็น “ตานา” ที่กลายเป็นมือที่สามที่ดอดเข้ามาแย่ง “ชิ้นปลามัน” ไปกินอย่างสบายใจนั่นเองเจ้าค่ะ อิอิอิ