ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น จากความเสี่ยงตะวันออกกลาง-อุปทานตึงตัว
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่าภาวะตลาดน้ำมันดิบวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทยว่าราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในวันพฤหัสบดี เนื่องจากนักวิเคราะห์ชี้ว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่อยู่ในระดับต่ำและความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่กลับมาเป็นปัจจัยหนุนตลาด
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 84 เซนต์ หรือ 1.23% แตะที่ 69.36 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ณ เวลา 13:39 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกสหรัฐ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียตล่วงหน้าของสหรัฐฯ (WTI) เพิ่มขึ้น 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.63% แตะที่ 67.46 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯกล่าวว่า จดหมายแจ้งประเทศขนาดเล็กเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะถูกส่งออกไปในเร็วๆ นี้ และยังกล่าวถึงความเป็นไปได้ของข้อตกลงกับปักกิ่งเกี่ยวกับยาเสพติดผิดกฎหมายและความเป็นไปได้ของข้อตกลงกับสหภาพยุโรป
“ราคาในระยะใกล้จะยังคงผันผวนเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราภาษีขั้นสุดท้ายของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก” แอชลีย์ เคลตี นักวิเคราะห์จาก Panmure Liberum กล่าว พร้อมเสริมว่าราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวลดลงในระยะปานกลาง
ด้านจอห์น อีแวนส์ นักวิเคราะห์จาก PVM Oil Associates กล่าวว่า ตลาดน้ำมันกำลังตอบสนองต่อสถานการณ์สต็อกน้ำมันตึงตัวเช่นกัน
ข้อมูลของรัฐบาลเมื่อวันพุธแสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ลดลง 3.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ในการสำรวจของรอยเตอร์ที่ 552,000 บาร์เรล
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันไม่ได้นำไปสู่ปริมาณน้ำมันคงคลังที่สูงขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น
“ความคิดเรื่องน้ำมันถูกเบี่ยงเบนจากสถานการณ์ในตะวันออกกลาง การโจมตีซีเรียของอิสราเอลและการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในเคอร์ดิสถานโดยโดรนนั้นเกิดขึ้นประจวบเหมาะกัน และอีกครั้งที่เพิ่มความเข้มข้นให้กับสถานการณ์นี้บ้าง” อีแวนส์กล่าว
เจ้าหน้าที่ด้านพลังงานสองคนกล่าวเมื่อวันพุธว่า การโจมตีด้วยโดรนต่อแหล่งน้ำมันในเขตกึ่งปกครองตนเองเคอร์ดิสถานของอิรัก ทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลดลงมากถึง 150,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานทำให้ต้องปิดระบบหลายครั้ง
ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ Price Futures Group กล่าวว่า ตลาดยังคงมองหาสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะอุปทานตึงตัวหรืออุปสงค์ที่สูงขึ้น แต่ยังขาดความชัดเจน
ฟลินน์กล่าวว่า“ทุกคนกำลังรอคอยตัวปัญหา แต่ตัวปัญหายังไม่โผล่มาเลย”
ขณะเดียวกัน พายุโซนร้อนในอ่าวเม็กซิโกตอนเหนือคาดว่าจะยังไม่พัฒนาเป็นพายุที่มีกำลังรุนแรง ขณะที่เคลื่อนตัวไปทางตะวันตกก่อนที่จะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งในรัฐลุยเซียนาในวันพฤหัสบดี
ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐลุยเซียนาจะอยู่ที่ประมาณ 4 นิ้ว (10 เซนติเมตร)