WHO จัดอันดับ 10 เนื้อสัตว์ที่ดีต่อสุขภาพที่สุดในโลก "อกไก่" ติดแค่อันดับ 10
องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดอันดับ 10 เนื้อสัตว์ที่ดีต่อสุขภาพที่สุดในโลก อกไก่ติดแค่อันดับ 10 ส่วนอันดับ 1 คนไทยรู้จัก แต่ไม่ค่อยนิยมกินกัน
จากการจัดอันดับอาหารเพื่อสุขภาพล่าสุดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า เนื้อไก่และเนื้อวัวที่เคยได้รับความนิยม กลับไม่ติด 5 อันดับแรกของเนื้อสัตว์ที่ดีต่อสุขภาพอีกต่อไป
เมื่อคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้คนต่างหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น แม้ผักและผลไม้จะเป็นทางเลือกหลัก แต่เนื้อสัตว์ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ เดิมทีคนส่วนใหญ่นิยมกินเนื้อหมู เนื้อวัว แต่ตอนนี้ความนิยมกำลังเปลี่ยนไป
ในรายงานของ WHO ระบุว่า เนื้อไก่และเนื้อวัวหลุดจากท็อป 5 ส่วนเนื้อสัตว์ที่ไขมันต่ำอย่างเนื้อห่านและเนื้อเป็ดเริ่มขึ้นแท่นเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
แล้วเนื้อแบบไหนกันแน่ที่เรียกว่า "ดีต่อสุขภาพ"? นักโภชนาการพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- ปริมาณและคุณภาพของโปรตีน
- ปริมาณไขมันและองค์ประกอบของกรดไขมัน
- ความเข้มข้นของวิตามินและแร่ธาตุ
- มีงานวิจัยขนาดใหญ่รองรับประโยชน์ต่อสุขภาพหรือไม่
ตามเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อนี้ อกไก่รั้งอันดับที่ 10 ของเนื้อสัตว์ที่ดีต่อสุขภาพที่สุดในโลก ส่วนอันดับ 1 นั้น น่าประหลาดใจไม่น้อย
10 เนื้อสัตว์ที่ดีต่อสุขภาพที่สุดในโลก
10. อกไก่
อกไก่ถือเป็นเมนูยอดนิยมของคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการที่ "สะอาด" มาก โดยในอกไก่ 100 กรัม จะมีโปรตีนประมาณ 23 กรัม และไขมันเพียง 5 กรัมเท่านั้น
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ประเทศสหรัฐฯ ยังพบว่า การได้รับโปรตีนคุณภาพสูงวันละ 102 กรัม สามารถลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงได้ถึง 40%
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอเตือนว่า แม้ว่าอกไก่จะดีต่อสุขภาพ แต่ก็ขาดกรดไขมันโอเมก้า 3 และแร่ธาตุบางชนิด หากกินแต่อกไก่ติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้ร่างกายขาดสมดุลทางโภชนาการได้เช่นกัน
9. ไก่ดำ
ในไก่ดำ 100 กรัม ให้โปรตีนถึง 22.3 กรัม และมีไขมันเพียง 2.3 กรัมเท่านั้น อีกทั้งยังมีเมลานินซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระอย่างดีเยี่ยม
เมื่อนำมาต้มตุ๋นเป็นน้ำซุป จะช่วยเพิ่มการละลายของกรดอะมิโนได้มากกว่า 80% จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับบำรุงร่างกายผู้ที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วย
8. เนื้อวัวไม่ติดมัน
เนื้อวัวสันนอกมีคะแนน PDCAAS (ค่าความสมบูรณ์ของโปรตีน) เต็ม 1.0 และมีธาตุเหล็ก 3.2 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มากกว่าเนื้อไก่ถึง 2.5 เท่า โดยเฉพาะเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า จะอุดมไปด้วยกรดไลโนเลอิกคอนจูเกต (CLA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และได้รับการขนานนามว่าเป็น "พลังงานทอง" สำหรับการสร้างกล้ามเนื้อ
7. เนื้อเป็ด
เนื้อเป็ดมักติดโผอาหารสุขภาพของ WHO อยู่เสมอ ด้วยรสชาติที่นุ่มชุ่มฉ่ำ ไม่แห้งกระด้าง จึงเหมาะเป็นเมนูช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยเฉพาะเมนูซุปเป็ดตุ๋นกับฟักและข้าวบาร์เลย์ ที่แพทย์แผนจีนระบุว่าช่วยขับความชื้นในร่างกายได้ดีกว่าการใช้ยาถึง 40%
6. เนื้อห่าน
เนื้อห่านมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงถึง 65% ของไขมันทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับน้ำมันมะกอก และช่วยปกป้องหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างยอดเยี่ยม
5. เนื้อกระต่าย
โปรตีนสูงถึง 21.2 กรัมต่อ 100 กรัม ไขมันต่ำเพียง 1.5 กรัม น้อยกว่าอกไก่อีก ความละเอียดของเส้นใยกล้ามเนื้อเล็กกว่าเนื้อหมูถึง 1 ใน 3 ทำให้ง่ายต่อการย่อยและดูดซึมสูงถึง 95% เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุที่ระบบย่อยอาหารเริ่มอ่อนแอ
4. เนื้อแกะ
เนื้อแกะ มีโปรตีนมากกว่า 19% และไขมันน้อยกว่า 4.5% จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง นอกจากนี้ ยังมีคอเลสเตอรอลต่ำกว่าเนื้อแกะทั่วไปถึง 30% และอุดมไปด้วยคาร์นิทีน ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันว่าช่วยลดความเสี่ยงหลอดเลือดแข็งตัวได้ถึง 17%
3. ปลาทะเลน้ำลึก
ทั้งปลาแซลมอน ปลาค็อด และปลาทะเลน้ำลึกชนิดอื่น ๆ ต่างมีค่า PDCAAS เต็ม 1.0 อีกทั้งยังอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ถึง 20% หากรับประทานปลาทะเลน้ำลึกสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
การนึ่งปลาทะเลน้ำลึกสามารถคงคุณค่าของ DHA ได้มากกว่า 90% ขณะที่การทอดจะทำให้สารอาหารสำคัญสูญเสียไปกว่า 50%
2. เนื้อนกพิราบ
เนื้อนกพิราบมีโปรตีนสูงกว่าอกไก่ถึง 15% และมีไขมันเพียง 0.3% เท่านั้น นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินบีและสังกะสี ซึ่งช่วยเร่งการสมานแผลได้เร็วขึ้นถึง 30% จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่พักฟื้นหรือเพิ่งผ่าตัด
1. ปลิงทะเล
ในปลิงทะเลแห้ง 100 กรัม มีโปรตีนสูงถึง 76 กรัม มากกว่าเนื้อวัวถึง 3.8 เท่า และยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่าจากท้องทะเล ไม่ว่าจะเป็น คอลลาเจนกว่า 80% ที่ดีต่อผิวและข้อต่อ, ซาโปนิน ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอก และ มิวโคโพลีแซ็กคาไรด์ชนิดกรด ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวแมคโครฟาจในการกำจัดเชื้อโรคและเซลล์แปลกปลอม
อันดับ 1 อาจทำให้หลายคนประหลาดใจ แต่ความจริงคือ “ไม่มีอาหารชนิดไหนที่สมบูรณ์แบบที่สุด มีแต่การจับคู่ที่ลงตัวต่างหาก” การจะได้รับกรดอะมิโนอย่างครบถ้วน จำเป็นต้องกินโปรตีนจากแหล่งที่หลากหลายอย่างน้อย 5 ชนิดต่อวัน
ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องโฟกัสแค่เนื้อชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่ควรกินให้หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและสมดุลอย่างแท้จริง