ตร.ที่ทำร้ายเจ้าของรถแหกด่านผิดคันเข้ารับทราบข้อหา ผิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 9 กรกฎาคม 2568 เวลา 17.41 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทดีเอสไอ 9 ก.ค.- จากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 ราย กองบังคับการตำรวจจราจร ทำร้ายร่างกายประชาชน ริมถนนประเสริฐมนูกิจ เป็นเหตุให้นายธนานพ บุตรชายของ พ.ต.ท.ธนชัย ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.67 เวลาประมาณ 01.40 น. ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 ราย ทราบว่าได้เข้าใจผิดคิดว่ารถคันที่นายธนานพ ขับมานั้นเป็นรถที่แหกด่านจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์หลบหนี เนื่องจากเป็นรถยนต์ ยี่ห้อ รุ่น และสีเดียวกันกับรถคันที่แหกด่านหลบหนีไป กระทั่งตำรวจ 7 ราย ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน และต่อมาวันที่ 7 มี.ค.68 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่มี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกำกับการสอบสวนคดีความผิดแห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พร้อมด้วยพนักงานอัยการ และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าทางคดีครั้งที่ 1 และวางกรอบแนวทางการสอบสวนขยายผล รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อพิจารณาความผิดแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง กระทั่งเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.68 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้สรุปความคืบหน้าทางคดี พร้อมลงมติเเจ้งข้อกล่าวหา 7 เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ตามฐานความผิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มาตรา 5 คือ ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวด หรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด และนัดหมายผู้ต้องหาให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาวันนี้ (9 ก.ค.)
วันนี้ (9 ก.ค.) นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกำกับการสอบสวนคดีความผิดแห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พร้อมด้วยพนักงานอัยการ และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ร่วมกันแจ้งข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรกลาง 7 ราย ในฐานความผิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มาตรา 5 คือ ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 309 มาตรา 310 และมาตรา 172 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
ขณะที่นายอังศุเกติ์ เปิดเผยว่า สำหรับขั้นตอนในวันนี้คือการเรียกทั้ง 7 ผู้ต้องหาให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งภายหลังมีการแจ้งข้อกล่าวหาเรียบร้อยแล้ว จะต้องมีการปล่อยตัวกลับ ไม่ได้ควบคุมตัวไว้ เพราะผู้ต้องหามีการเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ไม่มีการหลบหนี ซึ่งระหว่างนี้ภายในเวลา 2 สัปดาห์ หรือ 15 วัน ผู้ต้องหาทั้งหมดมีหน้าที่ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตามความประสงค์ หากพนักงานสอบสวนได้รับเอกสารการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว ก็จะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดคำให้การ เพื่อดูว่าจะต้องมีการเรียกสอบสวนปากคำเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และเป็นการเรียกเพิ่มในประเด็นใด อย่างไรก็ตาม การสรุปสำนวนพร้อมความเห็นส่งฟ้องผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต จะเกิดขึ้นภายในเดือน ส.ค. จากนั้นพนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต จะมีการสรุปสำนวนสั่งฟ้องไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางต่อไป
ทั้งนี้ ในเวลา 09.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร (ผู้ต้องหา) ทยอยเดินทางเข้าพบคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษก่อน 6 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนสวมชุดลำลอง เสื้อยืด กางเกงยีนส์ และมีการปิดบังอำพรางใบหน้าด้วยการสวมหมวกและแมสก์ และพยายามหลบเลี่ยงการบันทึกภาพของสื่อมวลชน จากนั้นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้พาทั้ง 6 รายขึ้นไปด้านบนอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ห้องประชุม 1 ชั้น 1 เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อย่างไรก็ตาม ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 1 ราย ที่ยังไม่ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนในตอนนี้.-119-สำนักข่าวไทย