GFC หัวเรือหาย.!
เหลืออีกแค่ราวเดือนเศษ ๆ เท่านั้นที่หุ้นทำลูกบริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFCจะได้ตัดเค้กฉลองครบรอบ 2 ปีเต็มที่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai (เข้า 13 ก.ย. 2566 ด้วยไอพีโอ 7.00 บาท) แล้วนะ…
แต่ไหงไปดูตัวเลขสำคัญทางการเงินของ GFC ในห้วงเวลา 2 ปีมานี้กลับถดถอยลงล่ะเนี่ย..!?
โอเค…รายได้และกำไรยังดูดีอยู่…อันนี้ไม่เถียง โดยปี 2565 มีรายได้รวม 276.12 ล้านบาท กำไรสุทธิ 65.68 ล้านบาท ถัดมาปี 2566 มีรายได้รวมเพิ่มเป็น 355.76 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิแตะที่ 77.49 ล้านบาท และปี 2567 รายได้รวมอยู่ที่ 373.15 ล้านบาท กำไรสุทธิ 73.51 ล้านบาท
ยกเว้นไตรมาสแรกปีนี้ที่กำไรสุทธิเหลือแค่ 5.75 ล้านบาท ลดลง 80.01% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 ที่มีกำไรสุทธิ 28.74 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการให้บริการ 90.46 ล้านบาท ลดลง 16.88% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 ที่ทำได้ 108.84 ล้านบาท
ถ้าไปส่องอัตรากำไรสุทธิจะเห็นว่าร่อยหรอลงเรื่อย ๆ จากปี 2565 อยู่ที่ 23.79% มาปี 2566 อยู่ที่ 21.78% ส่วนปี 2567 ลดลงเหลือ 19.65% ล่าสุดไตรมาส 1/2568 ลดวูบเหลือแค่ 7.67% เท่านั้น สะท้อนถึงศักยภาพในการทำกำไรที่ลดลงต่อเนื่อง..!!
ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ก็สาละวันเตี้ยลง จากเดิมอยู่ระดับ 20% ลดลงมาเหลือ 9.87% แล้วไหนจะอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) จากระดับ 42.55% ลดฮวบมาอยู่ที่ 8.78% เท่านั้น
หันไปดูมาร์เก็ตแคปก็ถดถอย ณ สิ้นปี 2566 เคยมีมาร์เก็ตแคป 2,398.00 ล้านบาท จากราคาหุ้น 10.90 บาท พอสิ้นปี 2567 มาร์เก็ตแคปเหลือแค่ 1,540.00 ล้านบาท จากราคาหุ้น 7.00 บาท ขณะที่ล่าสุดราคาหุ้นGFC ทรุดมาอยู่ที่ 4.28 บาท ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปเหลือแค่ 941.60 ล้านบาท
GFCเผชิญตัวเลขสำคัญทางการเงินและมาร์เก็ตแคปถดถอยไม่พอ ล่าสุดยังมีกรณีผู้บริหารคนสำคัญมาลาออกอีก….
ถ้าผู้บริหารคนดังกล่าว เป็นมือปืนรับจ้างทั่ว ๆ ไป ก็คงไม่มีนัยอะไร…แต่นี่เป็น “กรพัส อัจฉริยมานีกูล”ซึ่งเป็นทั้งผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง GFCเลยนะ..!! และน่าจะกลายเป็นโลโก้ของGFCไปแล้วด้วย..??
โดย “กรพัส” ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กรรมการชุดย่อยทุกคณะ และกรรมการในบริษัทย่อย มีผลวันที่ 14 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา…โดยให้เหตุผลว่า “เนื่องจากมีภารกิจส่วนตัวที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น อันส่งผลให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”ขอบอกว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย…หรือใครจะเถียง
แม้ในระหว่างนี้ “กรพัส” จะยังนั่งรักษาการ CEO ไปพลาง ๆ ก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้ง CEO คนใหม่ก็เถอะ
ซึ่งดูแล้วการลาออกของ “กรพัส”เหมือนเป็นการตัดบัวไม่เหลือใยเสียด้วย เพราะลาออกจากทุกตำแหน่ง ทั้ง ๆ ที่GFCเป็นบริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นมากับมือ ปลุกปั้นจนเติบใหญ่ และผลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 2 ปีก่อน…แล้วจู่ ๆ วันนี้มาลาออกซะงั้น…
แล้วที่น่าตั้งข้อสังเกตอีกอย่าง ถ้าไปดูทำเนียบผู้ถือหุ้น 15 อันดับแรกของ GFCไม่ปรากฏชื่อ “กรพัส” ถือหุ้นแฮะ…พอสืบไปสืบมา ที่แท้ถือหุ้นในนามภรรยา “ภาสิรี อรวัฒนศรีกุล”เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 3 ในสัดส่วน 12.89%
แต่ยังไงเสียการลาออกของ “กรพัส”ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่หรือเปล่า..??
แล้วการพ้นตำแหน่งของผู้ก่อตั้งตัวจริงอย่างนี้…ก็น่าคิด GFCหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปยังไง..??
จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ดี…คงเป็นช็อตที่ต้องจับตากันต่อไป
แต่คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วละมั้ง..!?
…อิ อิ อิ…