“มาริษ” ย้ำ! ไทยมีภาพลักษณ์ดี พร้อมนำทูตลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา 1 ส.ค.68
คืบหน้ากรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะเดือด!
ทหารกัมพูชา เปิดฉากยิงไทย ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.68 กระทั่งวันที่ 28 ก.ค.68 มีการประชุมพิเศษ ที่มาเลเซีย ซึ่งไทย-กัมพูชา ตกลงหยุดยิงทันที มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. วันที่ 28 ก.ค.68 ที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงเวลาขีดเส้นตายที่ตกลงกันไว้ พบว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงก่อกวนและใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในหลายพื้นที่ของไทย จนฝ่ายไทยต้องตอบโต้กลับตามสถานการณ์
ล่าสุดวันนี้ (30 ก.ค.68) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า ที่ผ่านมาถือว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในเวทีระหว่างประเทศในการรับมือกับกัมพูชาใน 3 ด้าน จริงๆมองว่าเราได้เปรียบด้วยซ้ำ
1. การชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศ เราได้ย้ำจุดยืนตั้งแต่ต้นว่าเรายึดมั่นในสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งยืนยันท่าทีเหล่านี้มาโดยตลอด ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ จึงขอถือโอกาสทำทวิภาคีกับเลขาธิการองค์การสหประชาชาติรวมทั้ง unsc ทุกคนก็สนับสนุน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่ไม่โปร่งใส ซึ่งกัมพูชาควรตระหนักให้ดีเพราะเรามีข้อตกลงพี่จะเจรจากัน แต่เขากลับบ่ายเบี่ยงเรื่องทุกครั้ง จนกระทั่งมีการปะทะกันบริเวณชายแดน ก็ได้มีการเปิดดีเบตเป็นสมัยพิเศษของ unsc ในวันที่ 25 กรกฎาคม ซึ่งทางทูตเราก็ได้แถลงข้อความออกไป จนทำให้คณะรัฐมนตรีความมั่นคง มีข้อพิจารณาชัดเจนเห็นว่าเรื่องนี้ต้องเป็นไปตามการเจรจาระหว่างประเทศ รวมทั้งในกรอบของอาเซียนด้วย ซึ่งไม่จำเป็นต้องยกเรื่องนี้มาคุยในกรอบของสหประชาชาติ ขอให้กลับไปคุยกันในกรอบของทวิภาคี เราชัดเจนว่ารัฐบาลทำทุกมาตรการที่เหมาะสม
เมื่อวานนี้ในที่ประชุมระดับสูง ขณะกำลังดีเบตกันเรื่องของปาเลสไตน์ กัมพูชายกเรื่องนี้ขึ้นมาในวาระที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ทำให้ภาพที่ออกมายิ่งดูไม่ดีสำหรับกัมพูชา เพราะผิดวัตถุประสงค์ของการประชุมอย่างชัดเจน ผมได้สั่งการให้ทูตเราดำเนินการทุกอย่างต่อเนื่องและชัดเจน
“มันเป็นความพยายามที่ชัดเจนของฝ่ายกัมพูชาที่จะบิดเบือน ไม่ใช่แค่ยกเรื่องนี้มาพูด แต่บิดเบือนข้อเท็จจริง โดยพยายามที่จะเพิ่มข้อความให้เป็นตัวหนังสือ ซึ่งทำให้เราต้องประท้วง จนท้ายที่สุดกับกัมพูชาก็ได้ถอนเรื่องนี้ออกไป นั่นคือความสำเร็จในกรอบของ un” นายมาริษ กล่าว
2. ในกรอบของมาตรการทางทหาร ประเทศไทยก็ได้เปรียบเป็นอย่างมาก เราสามารถยึดพื้นที่ 11 จุดที่อยู่เอาอำนาจอธิปไตยของไทยได้ ซึ่งต้องขอบคุณทหารทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ และขอแสดงความเสียใจกับทหารที่ได้เสียชีวิตด้วย ทั้งหมดตั้งแต่ช่วงต้นของการดำเนินการทั้งหลาย ทั้งด้านการต่างประเทศ การเจรจาต่อรอง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่รับฟังจุดประสงค์เป้าหมายและนโยบายของคณะการต่างประเทศและทหารไปพร้อมกัน
3. เรื่องการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสองฝ่าย การไปเจรจาที่มาเลเซียเป็นการเจรจาทวิภาคี โดยมีอาเซียน รวมทั้งสหรัฐและจีน ร่วมเป็นพยานด้วย แสดงว่าสิ่งที่เขาตกลงไปแล้วจะบิดไม่ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะผลักดันเพื่อให้เกิดการยุติความสูญเสียกลับมาพูดคุยเจรจาทวิภาคีเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยทำให้กัมพูชายอมรับกลไกการหารือทวิภาคี
ซึ่งตรงนั้นเป็นไปตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างโปร่งใสและเรายึดถือมาโดยตลอด เป็นจุดยืนที่สำคัญของประเทศไทย วันนี้เราสามารถทำให้กัมพูชากลับมาใช้กลไกทวีปภาคี โดยดูจากที่แม่ทัพได้พบกันอย่างไม่เป็นทางการ และให้เรามุ่งไปที่ jbc ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 68 ซึ่งรายละเอียด คงต้องรอให้ทุกคนได้มีการประชุมกันเพื่อวางท่าทีร่วมกัน ตรงนี้ก็จะเป็นการเจรจาที่ทั้งรัฐบาลกองทัพและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะได้มานั่งคุยกันว่าเราต้องการเห็นอะไร เพื่อเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ การรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย และการรักษาความปลอดภัยพี่น้องประชาชน
หลังจากที่เราได้ในสิ่งที่เราได้จากการประชุมแล้ว ผมและข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศทั่วทุกประเทศ ได้อธิบายให้มิตรประเทศเข้าใจว่าสิ่งที่ผ่านมามีอะไรบ้าง ทั้งเรื่องของการหยุดยิงและทำให้กัมพูชาตระหนักเรื่องการเจรจาทวิภาคี 2 ฝ่าย ซึ่งทุกประเทศที่ได้พบก็ได้รับฟังในสิ่งที่ถูกต้อง และได้รับความเข้าใจในจุดยืนและหลักการของไทยพร้อมสนับสนุนแนวทางของไทยที่จะแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีที่ไม่กระทบประชาชน
โดยเมื่อเช้า (31 ก.ค.68) ก็ได้มีข่าวสารออกไปเพื่อยืนยันความมุ่งมั่นของไทยเรื่องข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และประณามพฤติกรรมกัมพูชาที่เผยแพร่ข้อมูลไม่ชัดเจน หรือการให้ข้อมูลเท็จ โดยเฉพาะการใช้โอกาสของการประชุมต่างๆ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย
ส่วนเรื่องทหารกัมพูชาที่ถูกจับขณะละเมิดอธิปไตย เราดูแลบุคคลที่เราจับมาตามบทบาทสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ ซึ่งตามอนุสัญญาระบุว่าเราสามารถควบคุมตัวได้และจะปล่อยกลับไปต่อเมื่อเรามีความมั่นใจว่าบุคคลเหล่านี้จะไม่กลับมาทำร้ายประเทศไทยได้อีก ซึ่งการที่กัมพูชรายังละเมิดอยู่ จึงทำให้ไม่มั่นใจ และรอให้ชัดเจนก่อนจึงจะส่งตัวกลับไป แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายความมั่นคงด้วยว่าจะพิจารณายังไง
โดยพรุ่งนี้จะมีการนำผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย ลงไปสังเกตการณ์ หวังว่าทุกท่านจะได้ไปเห็นด้วยตัวเองว่าสิ่งที่กัมพูชาละเมิดไม่ใช่แค่อำนาจประชาธิปไตยของประเทศไทย ยังได้ละเมิดข้อตกลงของสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โจมตีเป้าหมายทางพลเรือนด้วย ซึ่งโรงพยาบาล โรงเรียน จะเป็นหลักฐานที่สำคัญว่าเราปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศมาโดยตลอด
เมื่อเทียบกับเมื่อวานที่ผ่านมา ทุกคนจะได้เห็นว่าสิ่งที่กัมพูชาพาไปดูนั้น คือความเสียหายทางทหารเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ทางพลเรือนแต่อย่างใด กระทรวงต่างประเทศเองก็จะนำเอาสื่อมวลชนต่างประเทศลงพื้นที่ร่วมกับผู้ช่วยทูตทางทหารพรุ่งนี้ (1 ส.ค.68) ด้วย เพื่อให้สื่อได้สะท้อนข้อมูลที่ถูกต้องสื่อสารให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศทุกคนได้เข้าใจว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น มีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตพี่น้องชาวไทย ทำให้ภาพลักษณ์ของไทยมีการมองและถูกต้องมากขึ้น
นอกจากทูตทหารแล้ว เราจะพยายามให้เจ้าหน้าที่ในสถานที่สถานทูตต่างๆ พยายามลงพื้นที่ด้วย แต่สิ่งสำคัญคือความปลอดภัยของผู้ที่จะลงไปในพื้นที่ เพราะฉะนั้นต้องมั่นใจเป้าหมายที่อยากให้เห็น นอกจากการโจมตี ผมเชื่อว่าพรุ่งนี้ประชาคมโลกและผู้ช่วยทูตทหารทั้งหลายจะสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องของการละเมิดดินแดนไทย รวมทั้งจะได้ฟังจากกองทัพที่อยู่ในพื้นที่เองด้วย ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จของการประชุมในวันจันทร์ที่ผ่านมา
ขอย้ำว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกัมพูชาที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีส่วนกระทบกับประชาชนกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทย เราไม่ผลักภาระทั้งหมดไปให้ประชาชนทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ อยากให้เราสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการไม่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เบียดเบียนของกัมพูชา ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหามากยิ่งขึ้นในสังคมระหว่าง 2 ประเทศ ขอให้ทุกท่านมั่นใจว่าเราจะปกป้องอำนาจอธิปไตยและดินแดนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบทุกอย่างที่เรานึกว่าเธอ ที่เรายึดถือและประชาคมโลกปฏิบัติร่วมกัน นายมาริษ กล่าว