คลัง” ชี้โจทย์สำคัญ! หนุนธุรกิจเพิ่ม “แข่งขัน” รับภาษีสหรัฐฯ รีดไทย 19%
วันนี้ (1 ส.ค. 68) นายพิชัย ชุณวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่าหลังไทยบรรลุข้อตกลงการเจรจารภาษีศุลกากรตอบโตหรือภาษีสหรัฐฯ จากอัตรา 36% เหลือ 19% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่า โดยไทยได้เปิดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 0% หลายรายการซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยเปิดให้กับทุกประเทศที่เราทำการค้าเสรีด้วย (FTA) โดยเป็นสินค้าที่ไทยมีความพร้อม ส่วนสินค้าไหนที่ไทยไม่มีความพร้อมก็จะเปิดให้เป็นบางรายการ เป็นระยะเวลา 3-5 ปี
สำหรับข้อเสนอที่ไทยยื่นไปเป็นการหลักการของการเจรจากับสหรัฐฯ เป็นการตกลงกันเรื่องใหญ่ๆ อาทิ อัตราภาษี สินค้าที่ไทยจะนำเข้า ไทยต้องลงทุนอะไรในสหรัฐฯ และไทยจะไปลงทุนอะไรในสหรัฐฯ หรือไม่หากมีโอกาส เป็นต้น
“ไม่ว่าจะภาษีทรัมป์หรือไม่โจทย์สำคัญของเราคือต้องทำงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ต้นทุนสินค้าที่ผลิตในไทยถูกลง เพื่อให้ผู้บริโภคในประเทศซื้อสินค้าในราคาถูกและส่งออกแข่งขันได้ ดังนั้นจะมีปัญหาหรือไม่มีภาษีทรัมป์ก็ต้องทำ” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า สินค้าไทยที่นำเข้าสรัฐฯ ก่อนวันที่ 7 ส.ค. 2568 ยังถูกจัดเก็บในอัตราเดิม 10% แต่หลังจากนั้นจะถูกจัดเก็บในอัตรา 19% ส่วนสินค้าที่เป็นสินค้าผลิตหรือแปรรูปที่ใช้ไทยเป็นถิ่นกำเนิดจะอยู่ในอัตรา 40% อย่างไรก็ตามสินค้าถูกผลิตหรือแปรรูปที่ใช้ไทยเป็นถิ่นกำเนิดจะถูกจัดเก็บในอัตรา 40% ไปก่อนหากยังไม่ได้ข้อสรุป แต่จะเร่งตกลงกันให้เสร็จเพื่อให้ได้อัตราภาษีใหม่
ส่วนสินค้าบางรายการที่เราเปิดนำเข้าจากสหรัฐ เพราะการผลิตในประเทศไทยไม่เพียงพอ ได้แก่ ข้าวโพด โดยเราได้มีการหารือกับผู้ประกอบการในประเทศ หากมีการนำเข้ามาจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 30% ซึ่งปัจจุบันใช้อยู่ 10 ล้านตัน ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มกำลังการผลิต เป็น 13 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มกำลังการผลิตกว่า 30% ภายใน 2-3 ปี ซึ่งรัฐก็มีการคุ้มครองเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดในไทย โดยกำหนดให้มีการซื้อสินค้าไทยก่อน ซึ่งมี 5 ล้านตัน
“เกษตรกรอาจจะกังวล เรื่องต้นทุนข้าวโพดที่เราจะนำเข้ามา ซึ่งในประเทศอาจจะราคาสูงกว่า ฉะนั้น รัฐบาลได้เตรียมจัดทำระบบโควตา เข้มงวดการนำเข้ามา และต้องมีใบรับรองสินค้าที่ส่งมาจะต้องไม่มีการเผา และเชื่อว่าข้าวโพดที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านจะลดลง และจะนำเข้ามาจากสหรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการก็ยินดีเพิ่มกำลังการผลิต” นายพิชัย ระบุ
ขณะที่การเปิดให้สหรัฐนำเข้าหมูนั้น เราเปิดสัดส่วนเล็กน้อย ไม่ถึง 1% ของการบริโภคในประเทศ เนื่องจากมีผลกระทบต่อเกษตรกรจำนวนมาก อีกทั้ง จะมีการตรวจสินค้าที่นำเข้ามาที่ต้นทาง และกำหนดกฎเกณฑ์ ให้นำเข้ามายากขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งที่สหรัฐ อยากให้ประเทศไทยนำเข้า คือ พลังงาน และปิโตเคมี โดยในปี 2569 เราได้เซ็นสัญญาเริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติ 1 ล้านตัน จากทั้งหมด 15 ล้านตัน โดยจะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าไทยถูกลงด้วย เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐมีราคาที่ถูก และเรายังพิจารณานำเข้าน้ำมันจากสหรัฐเพิ่มขึ้น 10% โดยปกติไทยนำเข้าน้ำมันกว่า 90% จากทั่วโลกอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีแผนการซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ เป็นแผนเดิมที่การบินไทยเตรียมจะซื้อเครื่องบินอยู่ประมาณ 100 ลำ โดยจากนี้ไปจะเน้นซื้อจากสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินเล็ก คาดว่าการบินไทยจะทยอยซื้อเพิ่มอีก 80-90 ลำ ภายใน 5-10 ปี
ขณะเดียวกันเรื่องของอัตราดอกเบี้ยให้เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้กำกับนโยบายการเงิน เพราะจะมีผลต่อหลายเรื่อง เรื่องอัตราการเงิน อัตราแลกเปลี่ยน ดูแลต่อไป
อย่างไรก็ตามในช่วงที่รอข้อสรุปของผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ผู้ประกอบการได้ชะลอการส่งออกและแผนการลงทุนในระยะยาวออกไปก่อน แต่พอผลการเจรจาออกมาในอัตรา 19% ทำให้นักลงทุนถอนหายใจโล่งอกปักหมุดที่จะวางแผนการลงทุนไทย เพราะมองว่าไทยมีความพร้อม ซึ่งแผนการลงทุนบริษัทเหล่านี้อย่างน้อยใช้ระยะเวลา 10-20 ปี แผนระยะยาวคงจะทำได้ดีขึ้น
นอกจากนี้คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะขยายตัวได้ 2.2% หรือไม่นั้นขึ้นอย่ากับการทำงานและการเปลี่ยนแปลงไป เพราะผลต่อจีดีพีไม่ใช่เพราะผลในประเทศและการเปลี่ยนแปลงจากภายในประเทศเข้ามาทุกวัน ดังนั้นจะใช้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถมาช่วย เพื่อเพิ่มการแข่งขันซึ่งหมายถึงต้นทุนการผลิตที่สามารถแข่งขันได้ และสินที่ต้องการของตลาด สินค้าที่มีความต้องการซื้อเยอะๆ เพื่อผลักกันให้ SME ไทยมีศักยภาพในการผลิตเพื่อรองรับการผลิต แปรรูป สินค้าที่เป็นถิ่นกำเนิดในไทยและส่งออกไปต่างประเทศ แต่ในไตรมาส 2 ปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3% ต่อเนื่อง