JMTย้ำสภาพคล่องไม่สะดุด กำเงินสด2พันล้านลุยซื้อหนี้
#JMT #ทันหุ้น – JMT เดินเกมรุกปลายปี เตรียมงบ 2,000 ล้านบาท ซื้อหนี้ไม่มีหลักประกันเพิ่มพอร์ตเท่าตัว มั่นใจสภาพคล่องแกร่งเงินสดแน่น คืนหุ้นกู้ตามแผน ส่วนแผนออกหุ้นกู้ใหม่ยังไม่ชัดแต่คาดวงเงินต่ำกว่า 3,000 ล้าน ลุ้นงบไตรมาส 2/2568 กลางสิงหาคมนี้
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า บริษัทยังคงมีความพร้อมทางการเงิน โดยมีการจัดสรรเงินไว้ 2,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อหนี้เพิ่มเพื่อขยายพอร์ตลงทุนในหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกันโดยหากซื้อได้ทั้งวงเงินจะส่งผลให้พอร์ตเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีที่ผ่านมา
ขณะที่จังหวะการตัดสินใจซื้อที่น่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีเป็นหลัก ยังคงต้องพิจารณาสถานการณ์ภาวะหนี้ในประเทศประกอบด้วยซึ่งไปผูกโยงกับนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับปรุงและขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง หากยังมีการขยายหรือยืดระยะเวลาต่อไปอีก บริษัทก็อาจไม่ได้รีบตัดสินในซื้อหนี้เพิ่มจำนวนมากก็ได้ และอาจเลือกรอไปใช้ทบเพิ่มเติมรวมกับวงเงินของปีถัดไป
*กำเงินสดพร้อมมือ
ส่วนในแง่การบริหารจัดการการเงิน บริษัทยังมั่นใจอีกว่า สามารถชำระคืนส่วนของหุ้นกู้เดิมอีกชุดหนึ่งที่จะครบกำหนดครึ่งปีหลังได้ บริษัทพร้อมให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัททุกราย โดยที่ผ่านมาบริษัทได้จ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินหุ้นกู้ครบได้ตามกำหนด
ด้านแผนระดมทุนออกหุ้นกู้ใหม่ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม (Rollover) ถ้ามีจะไม่มากถึงระดับ 3,000 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทยังไม่ได้กำหนดแผนชัดเจนว่าจะเป็นเท่าใดรวมถึงมีความเป็นไปได้เช่นกันว่า อาจไม่เสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเลยก็ได้
*มองลดดอกเบี้ยเป็นบวก
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่หากปรับลงจะส่งผลดีต่อต้นทุนการเงินนั้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด เพิ่งประกาศคงดอกเบี้ยนโยบายไป จึงทำให้ประเมินทางประเทศไทยน่าจะยังไม่รีบตัดสินในปรับลงในเร็วๆ นี้เช่นกัน แต่ก็มีโอกาสที่จะผ่อนคลายในไตรมาส 4/2568 หรือปีหน้า
ทั้งนี้ตลอดครึ่งแรกของปีนี้ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวน มีแรงกดดันจากการชะลอตัวของภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม ฝ่ายบริหารได้ดำเนินงานอย่างเต็มที่ ซึ่งผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ที่เบื้องต้นคาดจะสรุปได้ 14-15 สิงหาคม 2568 คาดหวังจะออกมาน่าพอใจ
*ติดตามสถานการณ์สู้รบ
สำหรับภาพรวมบริษัทยังคงแผนการดำเนินงานต่างๆ ไว้ตามเดิมไปก่อน จนกว่าจะรวมรวบข้อมูลธุรกิจทั้งภายในและภายนอกตลอดทั้งปีที่ผ่านมามาประเมินอีกครั้ง ซึ่งยอมรับว่า ทั้งจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นปลายไตรมาสแรก จนถึงล่าสุดความขัดแย้งรุนแรงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ถือเป็นความเสี่ยงต่อความสามารถหารายได้ของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพียงแต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมากจนมีนัยต่อผลประกอบการบริษัทหรือไม่
และบริษัทยังคงยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งมิติ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี โดยยึดหลักธรรมาภิบาล และมุ่งสร้างประโยชน์ร่วมในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านภารกิจสำคัญในการส่งมอบลูกหนี้ที่ดีคืนสู่ระบบเศรษฐกิจและการเงินของไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป