สาวบ้านพังจากระเบิด เปิดรับซักรีดฟรีให้ประชาชน-ทหารกล้า
ทีมข่าวสำนักข่าววันนิวส์ ลงพื้นไปที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ “บ้านภูมิซรอล” หมู่ 13 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาโดยตรง ทำให้จรวด BM-21 ของกัมพูชาตกใส่จนระเบิดบ้านพังเสียหาย
จากการสำรวจบ้านหลังนี้ พบว่า บ้านได้รับความเสียหายพังทั้งหลัง โดยเฉพาะห้องครัว อีกทั้งบ้านหลังนี้ หน้าบ้านยังเปิดเป็นร้านซักรีดด้วย ทำให้จะเห็นสภาพซากเครื่องอบแห้ง, เตารีด, เสื้อผ้าของลูกค้า รวมไปถึงข้าวของภายในบ้านพังยับ คนไม่สามารถอยู่ได้ เพราะตามพื้นที่เต็มไปด้วยเศษอิฐ, เศษกระเบื้อง, ร่องรอยของระเบิดที่แตกกระจกกระจัดกระจาย หากมองขึ้นไปหลังคาที่เคยเอาไว้กันแดดกันฝน ตอนนี้ไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกแล้ว
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางรุ่งทิพย์ อายุ 41 ปี บอกว่า “สามีเธอเองก็เป็นทหารพราน ชื่อ สิบเอกดาวรุ่ง อายุ 45 ปี และกำลังปฎิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้า ทำให้เธอกับลูกชาย 3 คน ชื่อ นักรบ, รวมพล และเเดนไทย อดเป็นห่วงไม่ได้ ต้องคอยดูแลซึ่งกันและกันในช่วงที่พ่อไม่อยู่ และยิ่งบ้านพังด้วย จึงต้องเข้มแข็ง ทุกวันนี้ต้องไปอาศัยบ้านแม่อยู่ไปพลางๆ ก่อน”
นางรุ่งทิพย์ ยังเล่าต่อว่า เธอทราบข่าวว่าบ้านพังเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา วันแรกที่เกิดเหตุ เธอได้ส่งคลิปไปให้สามีดู สามีถึงกับน้ำตาไหล เพราะบ้านหลังนี้สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของสามี และยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี กู้เงินมา 500,000 บาท เพื่อหวังอยู่ในช่วงปั้นปลายชีวิต โดยวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ช่วงสถานการณ์เบาลง สามีได้มีโอกาสเข้ามาดูบ้านแว้บนึงแล้ว ก็เห็นเขาเดินไปร้องไห้อยู่ที่หลังครัวคนเดียว ก่อนจะปาดน้ำตา แล้วเดินมายิ้มให้เธอและลูก ยอมรับว่าสามีเองก็คงเหนื่อย เครียด ไหนจะต้องตรึงกำลังที่ชายแดน ไหนจะห่วงลูกเมียไม่มีที่อยู่ และยังผิดหวังที่ระเบิดมาลงบ้านอีก
ส่วนเสื้อผ้าลูกค้าที่เสียหาย ได้ส่งรูปให้ลูกค้าดูแล้ว และจะชดใช้ค่าเสียหายให้ แต่โชคดีที่ลูกค้าเข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุ จึงปลอบขวัญให้ลูกค้า โดยการให้สิทธิซักฟรี 10 ตะกร้า และในช่วงนี้ยังเปิดร้านซักผ้าบ้านนักรบชั่วคราวก่อน เพื่อเปิดซักเสื้อผ้าให้กับทหารและประชาชนทั่วไปในช่วงสถานการณ์แบบนี้ด้วย โดยเธอตั้งใจอยากช่วยเหลือรั้วของชาติและอยากตอบแทนที่ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของไทยำด้อย่างดี แม้ว่าเธอเองก็ลำบาก ขาดรายได้ ทุกวันนี้ก็รอคอยภาครัฐจะเข้ามาช่วยเหลืออย่างมีความหวัง เพราะเป็นความหวังเดียวที่พอจะพึ่งได้
นางรุ่งทิพย์ ยังบอกอีกว่า เธอเองยังหวาดกลัวกับสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าในพื้นที่ยังไม่ปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปเยอะ จากเดิมที่เคยไปขายของหารายได้เสริมที่ผามออีแดงได้ มีเพื่อนพี่น้องอยู่ฝั่งเขมร วันนี้ไม่มีอีกแล้ว.