โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

สื่อต้องปรับตัวอย่างไร ในวันที่ AI เปลี่ยนอินเทอร์เน็ต

The Momentum

อัพเดต 12 สิงหาคม 2568 เวลา 1.29 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • THE MOMENTUM

การสู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชาสะท้อนภาพให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นอกจากการปะทะด้วยกำลังอาวุธแล้ว การต่อสู้ด้วยข้อมูลข่าวสารก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังวลีที่ว่า ‘สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายในสงครามคือความจริง’ (The first casualty of War is Truth) ยิ่งในยุคของสื่อสังคมออนไลน์ ข่าวปลอมที่สร้างความเกลียดชังและปลุกความรักชาติก็ยิ่งโหมกระพืออย่างรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง

เครื่องมือหนึ่งที่แสดงพิษสงในสงครามข่าวสารครั้งนี้คือ ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ทั้งการเสกสร้างข้อความสะเทือนอารมณ์เกินจริง การเขียนข่าวที่เนื้อหาไม่ตรงกับความเป็นจริง ไปจนถึงการปลอมแปลงภาพฉาวของผู้นำอีกประเทศ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ เนื้อหาบิดเบือนทั้งหมดนี้สร้างขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยี AI ที่ทุกคนสามารถเข้าถึง

แต่เจ้า AI ไม่ได้สร้างปัญหาแค่เฉพาะการสร้างข่าวปลอมหรือเนื้อหาบิดเบือนข้อเท็จจริง ฟังก์ชันใหม่ๆ ของ AI นับวันจะยิ่งอำนวยความสะดวกผู้ใช้งานจนแทบไม่ต้องคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาต้นทาง ทุบทำลายโมเดลธุรกิจของสื่อปัจจุบันที่อยู่รอดได้ด้วยรายได้ค่าโฆษณาจากการ ‘คลิก’ เข้ามาอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์

นี่คือโจทย์ใหญ่ของแวดวงสื่อในปัจจุบันว่าจะทำอย่างไร ที่จะดำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของข่าวสารข้อมูล และจะอยู่รอดอย่างไรในสมรภูมิใหม่ที่ AI ไม่ได้ป้อน ‘ทราฟฟิก’ ผู้อ่านเข้าสู่เว็บไซต์อีกต่อไป และหากสำนักข่าวคุณภาพที่คอยสอบทานความจริงไม่สามารถอยู่รอดได้ในทางธุรกิจ ในอนาคตก็คงยากที่เราจะบอกได้ว่าอะไรคือ ‘ความจริง’

สื่อมวลชนกับแนวทางการใช้ AI

ปัจจุบันห้องข่าวของไทยนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย การสำรวจโดย Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และสำนักข่าว SPRiNG เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาพบว่า นักข่าวไทยกว่าครึ่งหนึ่งใช้งาน AI แทบทุกวัน โดยงานยอดนิยมก็เช่นการหาข้อมูลเบื้องต้น การถอดเทปสรุปความ รองลงมาคือช่วยคิดประเด็นและช่วยเขียนข่าว

การใช้ AI ที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้น นำไปสู่การประกาศแนวปฏิบัติการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติเมื่อปลายปีที่ผ่านมาอย่างไรก็ตามแนวทางปฏิบัติดังกล่าวเป็นกรอบใหญ่กว้างๆ เช่น ‘ต้องระมัดระวังการใช้ AI ในการผลิต การเรียบเรียง การแปลภาษา รวมถึงการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ด้วยทักษะการใช้ AI โดยเข้าใจ’ หรือ ‘ตระหนักถึงการรู้เท่าทันข้อมูล (Data Literacy) ที่ได้รับมา การใช้ข้อมูลสถิติ และตัวเลขต่างๆ วิธีทำงานกับข้อมูล และการค้นหาข้อมูล รวบรวมเนื้อหาข่าว’

หากเป็นไปได้ สำนักข่าวไทยก็ควรประกาศหลักเกณฑ์การใช้ AI อย่างชัดเจนและเฉพาะเจาะจงเหมือนกับสำนักข่าวต่างประเทศ เช่น สำนักข่าว The New York Times ที่จะไม่ใช้ AI เขียนบทความโดยเด็ดขาด แต่จะใช้ AI เพื่อประมวลผลข้อมูล อ่านข่าวออกเสียง และแนะนำเนื้อหาที่น่าสนใจ รวมถึงการร่างพาดหัวข่าว สรุปบทความ และแปลจากข่าวภาษาอังกฤษเป็นภาษาสเปนฉบับร่างแรกเป็นต้น เช่นเดียวกับสำนักข่าว BBC ที่มีแนวปฏิบัติคล้ายกัน คือจะไม่ใช้ AI เขียนข่าวโดยตรง แต่จะใช้ช่วยในการอ่านออกเสียงของเนื้อหาเดิมเท่านั้น

ในขณะที่สำนักข่าว The Washington Post ยืดหยุ่นกว่านั้น โดยมีการพัฒนา AI ของตัวเองขึ้นมาชื่อว่า Heliografสำหรับเขียนข่าวข้อเท็จจริงที่ตรงไปตรงมา เช่น ผลการแข่งขันกีฬาและผลการเลือกตั้ง แต่ระบุอย่างชัดเจนว่า จะไม่ใช้ AI เพื่อสร้างภาพหรือวีดีโอที่เหมือนจริงเว้นแต่มีการเปิดเผยอย่างชัดเจน สิ่งที่น่าสนใจคือ The Washington Post ระบุอย่างชัดเจนในแนวปฏิบัติด้าน AI โดยยอมรับว่า ‘เทคโนโลยีนี้ไม่สมบูรณ์แบบ เราจึงไม่สามารถเชื่อมั่นในความแม่นยำได้ กระบวนการสอบทานข้อเท็จจริงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง’

เมื่อสื่อสังคมออนไลน์เต็มไปด้วยข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนที่เสกสร้างกันขึ้นมาเอง เราย่อมคาดหวังว่า สำนักข่าวไทยจะนำเสนอข้อมูลอย่างน่าเชื่อถือและรอบด้าน ในยุคที่สำนักข่าวใช้ AI อย่างแพร่หลาย การเปิดเผยอย่างชัดเจนและโปร่งใสว่าแต่ละสำนักใช้ AI ทำอะไรบ้าง และไม่ใช้ทำอะไรบ้างอย่างชัดเจนจึงนับเป็นพื้นฐานในการสร้างความชัดเจนและโปร่งใสที่นำไปสู่ความเชื่อมั่นของผู้อ่านนั่นเอง

ปรับตัวอย่างไร เมื่อ AI แย่ง ‘ทราฟฟิก’

ยุคอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของสำนักข่าวจากการจำหน่ายหนังสือพิมพ์สู่ระบบออนไลน์แทบทั้งหมด จุดอ่อนของสื่อไทยคือ การเป็น ‘สื่อฟรี’ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นต้องเสียค่าสมาชิกเพื่อคลิกเข้าไปอ่าน รายได้หลักของสำนักข่าวจึงเปลี่ยนจากการเก็บค่าหนังสือพิมพ์รายเดือนหรือรายสัปดาห์ สู่การขายโฆษณาเป็นหลัก แม้โมเดลธุรกิจดังกล่าวจะไม่ใช่โมเดลที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่รายได้จากอินเทอร์เน็ตก็ยังพยุงสื่อไทยมาได้จวบจนปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม AI กำลังทำให้พฤติกรรมผู้ใช้งานเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ผู้ใช้มักจะค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ค้นหาอย่าง Google แล้วค่อยๆ อ่านไปทีละหน้า ปัจจุบันคนจำนวนไม่น้อยเลือกถาม AI เพื่อหาคำตอบ ยิ่ง AI ในยุคหลังๆ ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ยิ่งสะดวกสบายเข้าไปใหญ่ เพราะเพียงป้อนคำถาม AI ก็จะค้นแหล่งข้อมูลจากหลายแห่งแล้วเอามาสรุปให้เสร็จสรรพพร้อมแหล่งอ้างอิงครบถ้วน แม้แต่เว็บไซต์อย่าง Google เองก็ปรับตัวครั้งใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมา โดยบางครั้งที่เราค้นข้อมูล เราจะพบกับ ‘ภาพรวมโดย AI (AI overviews)’ ซึ่งเป็นสรุปสั้นๆ ของผลการค้นหา ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานคลิกเข้าลิงก์ไปอ่านน้อยลง

นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว แพลตฟอร์ม Similarweb ที่วัดทราฟฟิกของเว็บไซต์กว่า 100 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลกพบว่า ทราฟฟิกการเข้าเว็บไซต์ของมนุษย์ในปีนี้จนถึงเดือนมิถุนายนเฉลี่ยลดลง 15% โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเว็บไซต์ด้านสุขภาพ (ลดลง 31%) เว็บไซต์แหล่งอ้างอิง (ลดลง 15%) และเว็บไซต์ด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา (ลดลง 10%)

ผู้บริหารของเว็บไซต์หลายแห่งเองก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ หลายคนไม่พอใจฟังก์ชัน ‘ภาพรวมโดย AI’ จากการค้นหาในกูเกิล โดยมองว่า กูเกิลทั้งขโมยทราฟฟิกและเนื้อหาจากเว็บไซต์อย่างไม่เป็นธรรม แม้บริษัทจะโต้กลับว่า นี่คือการใช้เนื้อหาจากอินเทอร์เน็ตอย่างยุติธรรมก็ตาม แพลตฟอร์มถามตอบของเหล่าโปรแกรมเมอร์อย่าง Stack Overflow เองก็ได้รับผลกระทบ โดยปราศานต์ จันทรเสกร (Prashanth Chandrasekar) ผู้บริหาร ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Economistว่า จำนวนผู้ใช้งานและการเข้ามาถามตอบบนแพลตฟอร์มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับเว็บไซต์อย่าง Wikipedia เองก็เผชิญกับจำนวนผู้ใช้งานที่ลดลงเช่นกัน พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเช่นนี้อาจสร้างปัญหาในระยะยาวเนื่องจากแพลตฟอร์มดังกล่าวอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานเพื่อสร้างเนื้อหา หากจำนวนผู้ใช้งานลดลง คุณภาพและปริมาณของเนื้อหาย่อมลดลงเช่นกัน

เมื่อโมเดลธุรกิจแบบเดิมที่เหล่าเว็บไซต์หารายได้จากโฆษณาซึ่งต้องอิงกับทราฟฟิกอาจอยู่ไม่รอดในยุค AI เราจึงต้องมองหาทางเลือกใหม่เพื่อให้เหล่าบริษัท AI จ่ายค่าตอบแทนให้กับสำนักข่าวและผู้สร้างสรรค์เนื้อหาอย่างเหมาะสม

รูปแบบแรกคือ การอนุญาตให้ใช้เนื้อหาบนเว็บไซต์ เนื่องจากโมเดล AI สมัยใหม่ต้องการข้อมูลเพื่อใช้ในการฝึกฝนปริมาณมหาศาล และยิ่งข้อมูลคุณภาพสูงก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นไปด้วย ยักษ์ใหญ่บางบริษัทจึงจับมือทำสัญญาขายเนื้อหาเพื่อนำไปใช้ในการฝึกฝน AI เช่น บริษัท News Corp เจ้าของสื่ออย่าง The Wall Street Journal Barron’s และเว็บไซต์MarketWatch ที่ทำสัญญาขายสิทธิในการใช้เนื้อหาให้กับ OpenAIนับเป็นหนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจโดยในอนาคตอาจเป็นข้อตกลงร่วมของหลายสำนักข่าวกับบริษัทพัฒนา AI คล้ายกับกรณีของบริษัทตัวแทนนักแต่งเพลงที่ให้ลิขสิทธิ์แก่บริการสตรีมมิงโดยได้รับค่าตอบแทนอย่างสมเหตุสมผล

รูปแบบที่ 2 คือการเก็บเงินจากเหล่า AI ที่เข้ามารวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ ยักษ์ใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานบนอินเทอร์เน็ตอย่าง Cloudflare เริ่มทดลองให้บริษัทโดยช่วยเว็บไซต์เรียกเก็บเงินค่ารวบรวมข้อมูลจากเหล่า AI หรือที่เรียกว่าระบบ Pay-as-you-crawlซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนโลกอินเทอร์เน็ตครั้งใหญ่ เพราะการค้นหาข้อมูลโดยมนุษย์อาจไม่ถูกรบกวนจากโฆษณาอีกต่อไป แต่รายได้ส่วนใหญ่ของเว็บไซต์จะมาจากเหล่า AI ที่กวาดรวมข้อมูลอยู่เบื้องหลัง รวมถึงแรงจูงใจในการสร้างเนื้อหาก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะเหล่า AI จะมองข้ามบทความที่มีเนื้อหาพื้นๆ หรือตอบคำถามง่ายๆ แต่จะให้คุณค่ากับเนื้อหาเชิงลึกที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น

รูปแบบที่ 3 คือการแบ่งรายได้จากการตอบคำถามของ AI แนวทางดังกล่าวต้องริเริ่มจากฝั่งบริษัทผู้พัฒนา AI เอง แม้ว่าเจ้าใหญ่ๆ ทั้ง ChatGPT, Gemini, Perplexity และ Claude ยังมองว่า การใช้เนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่สตาร์ตอัป AI รุ่นใหม่อย่าง ProRata จะแทรกโฆษณาไว้ในคำตอบของ AI แล้วแบ่งปันรายได้การโฆษณานั้นให้กับเจ้าของเนื้อหาด้วยปัจจุบันเว็บไซต์ดังกล่าวมีพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจเป็นสื่อรายใหญ่ เช่น FT และ The Atlantic อย่างไรก็ตามต้องคอยจับตาดูต่อไปว่า โมเดลธุรกิจนี้จะสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากน้อยเพียงใด

ที่ผ่านมาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตต่างอาศัยประโยชน์จากเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยสำนักข่าว เพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน ตั้งแต่การค้นหาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ค้นคำไปจนถึงสื่อสังคมออนไลน์ ปัญหาที่พบเจอคือสำนักข่าวแทบไม่มีอำนาจต่อรองกับบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ แม้กระทั่งภาครัฐเองแม้จะออกกฎหมายบังคับให้ต้องแบ่งปันผลตอบแทน บางบริษัทอย่างเช่น Meta ก็เลือกที่จะไม่แสดงผลข่าวบนสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อแก้ปัญหาอย่างเช่นที่เกิดในแคนาดา

อย่างไรก็ตาม AI ก่อกระแสการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและรวดเร็วกว่านั้น เพราะมันกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคและลดจำนวนทราฟฟิกซึ่งเป็นรายได้สำคัญที่หล่อเลี้ยงบริษัทสื่อกลุ่มที่เปิดเนื้อหาให้อ่านแบบฟรีๆ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงต้องหาทางบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรม เนื่องจากความสัมพันธ์ของ AI ก็คล้ายกับน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า AI เองก็ต้องการเนื้อหาคุณภาพสูงที่แม่นยำ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมแก่ผู้ใช้งาน ส่วนสำนักข่าวเองก็ต้องการรายได้ เพื่อหล่อเลี้ยงองค์กรและสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงต่อไป นี่คือตัวเลือกที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์รวมถึงสังคมโดยรวมอีกด้วย

เอกสารประกอบการเขียน

Heliograf: How The Washington Post’s AI Writer Wrote 850 Articles in Year One

Facts, fakes and figures: How AI is influencing journalism

AI Is Reshaping the Internet Websites Are Losing Traffic and Getting Nothing in Return

AI is killing the web. Can anything save it?

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The Momentum

20 บาทตลอดสาย วิธีคิดแบบเพื่อไทย หวังแก้ปัญหาเรื้อรังจากรัฐบาลก่อน

29 นาทีที่แล้ว

แฟนบอล-นักการเมืองลุกหนุน ‘โม ซาลาห์’ ไว้อาลัย ‘เปเล่แห่งปาเลสไตน์’ ซัด UEFA ปิดปากเรื่องอิสราเอลเป็นผู้สังหาร

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

สรุปราคาทองวันนี้ 11 สิงหาคม 2568

สยามนิวส์

ซี อาร์ ซี สปอร์ตต่อยอดกลยุทธ์สร้างคอมมิวนิตี้เจาะกลุ่มแฟนบอล

ฐานเศรษฐกิจ

“ONEE” พลิกกำไรไตรมาส2/68 ปักธงกลยุทธ์Idol Marketingชูโรง

Manager Online

“พาณิชย์”จับมือ“เต่าบิน”ปั่นน้ำผลไม้ ช่วย"เกษตรกร"

TNN ช่อง16

เซ็นทรัลพัฒนา ปั้น Destination for New Gen Motherhood รับวันแม่ เปิดแคมเปญ‘My Mom My Mate’ จัดเต็มกิจกรรมตลอด เดือนสิงหาคมที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วไทย

Manager Online

"Nvidia-AMD" ยอมจ่าย 15% รายได้ขาย"ชิป"ในจีน

TNN ช่อง16

ถอดบทเรียนการเงิน จาก 5 นักลงทุนชื่อดัง จงใช้เงินซื้อ ‘เวลา-ความรู้’

TODAY

"ศาลฮ่องกง" สั่งชำระบัญชี China South City

TNN ช่อง16

ข่าวและบทความยอดนิยม

พ่อแม่ยุคใหม่ เลี้ยงลูกด้วย ChatGPT เมื่อคำแนะนำของ AI ช่วยให้เป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้น

The Momentum

โลกจลาจล เพราะใครๆ ก็สร้างคอนเทนต์ได้ Mountainhead หนังตลกร้าย ที่คล้ายเรื่องจริงจนขำไม่ออก

The Momentum

“อย่าลืมนะว่าของที่หนูมี แม่พี่ก็มีเหมือนกัน” เมื่อ Deepfake เปลี่ยนภาพธรรมดาเป็นสื่อโป๊ ใครรับผิดชอบ เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือคุกคาม

The Momentum
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...