ถอดบทเรียนการเงิน จาก 5 นักลงทุนชื่อดัง จงใช้เงินซื้อ ‘เวลา-ความรู้’
“คนที่บอกว่าเงินไม่ใช่ทุกอย่าง ไอนู่นก็ไม่ได้ ไอนี่ก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่มีเงิน หรือมีแต่มีไม่มากพอ ถ้าคุณมีเงินมากพอในระดับหนึ่งมันทำได้แทบจะทุกอย่าง” คำกล่าวของ ‘ดิว-วีรวัฒน์’ หนึ่งในนักลงทุนชื่อดังของประเทศไทย
ในรายการ Topp Table ช่องยูทูป ToppJirayut โดย EP. ที่ชื่อว่า ‘ยังมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้อยู่ไหม ในยุคแบบนี้ ?’ โดย ‘ท๊อป-จิรายุส’ ซีอีโอบิทคับ มีแขกรับเชิญที่คนมากมายยกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุน อย่าง ‘ดิว-วีรวัฒน์’ นักลงทุน VI ชื่อดังของไทย, ‘หมู-ณัฐวุฒิ’ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Ookbee , ‘พอล-ภัทรพล’ นักแสดงและเจ้าของรายการ Money Matters และ ‘ซีเค เจิง’ ซีอีโอ Fastwork มาให้แนวคิดและแนะนำวิธีการลงทุนในฉบับของตนเอง
TODAY Bizview จะมาสรุปข้อคิดด้านการเงินที่น่าสนใจให้ครบจบผ่านบทความนี้
[ ที่ดินขายยาก หุ้นปันผลถือไว้จนกว่าหายขาดทุน คริปโตฯ ผันผวนไว ]
เริ่มบทเรียนการลงทุนด้วยคำถามของ ‘ซีเค เจิง’ ตอนนี้มีใครลงทุนในหนี้บ้างไหม?
‘หมู-ณัฐวุฒิ’ บอกว่า ตอนนี้การลงทุนในสินทรัพย์หนี้ (Debt) มีทั้งรูปแบบดั้งเดิม เช่น พันธบัตรรัฐบาล (Treasury) และแบบในโลกคริปโต เช่น การนำตราสารหนี้มาทำ Tokenization เพื่อค้ำประกันเหรียญ Stablecoin อย่าง USDT หรือ USDY ซึ่งบางแบบจะนำดอกเบี้ยมาจ่ายให้ผู้ถือ ในพอร์ตของผู้พูดสัดส่วนหนี้มีน้อย ซึ่ง ‘หมู-ณัฐวุฒิ’ ลงทุนแบบนี้
เพราะถ้าลงทุนหนักในคริปโตและหุ้นเทค เน้น DCA ถือยาวหลายไซเคิลจนสัดส่วนคริปโตโตขึ้นมาก ไม่ใช้เลเวอเรจ แต่บางครั้งใช้คริปโตค้ำเพื่อกู้เงินดอกเบี้ยต่ำ 6–7% ต่อปี ซึ่งราคาคริปโตเหวี่ยงแรงกว่ามากในระยะสั้น ขึ้นลงก็วันละ 6-7% แล้ว ฉะนั้นแล้วถ้าฉุกเฉินจะเงินใช้เงินขึ้นมาก็ค่อยกู้ออกมาแล้วยอมจ่ายดอกเบี้ยเอา
ด้าน ‘ดิว-วีรวัฒน์’ แม้สนิทกับ ‘ซีเค เจิง’ ที่ชอบแนะนำการลงทุนในคริปโตฯ มากๆ แต่ ดิวก็บอกว่าตอนนี้ยังไม่มีบิตคอยน์เลยสักเหรียญ แม้จะมีทรัพย์สินหลักร้อยล้าน แต่สไตล์การลงทุนค่อนข้างเน้นถือยาวและรับปันผลมากกว่าขายทำกำไรทันที แม้ขาดทุนในหุ้นบางตัวก็ยังเก็บกินปันผลปีละราว 5% เพื่อค่อยๆ กลบขาดทุนในระยะยาว
และดิวยังเสริมอีกว่า ตอนนี้อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าเหนื่อยและขายยากคือ ‘ที่ดิน’ ตัวเขาเองมีที่ดินมรดกจำนวนมาก แต่ที่ไม่ติดถนนหรือทำเลไม่เด่นขายยาก บางแปลงอาจขายได้แค่ราคาเดิมเมื่อ 30 ปีก่อน ต่างจากนักลงทุนรายใหญ่แบบ “คุณตัน” (ตัน อิชิตัน) ที่เน้นซื้อเฉพาะทำเล Prime ติดถนนใหญ่หรือโลเคชันพิเศษ ทำให้สามารถซื้อแพงและขายได้แพงมาก ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่คนทั่วไปทำได้ยากเพราะต้องใช้เงินทุนสูงมาก
ส่วนประสบการณ์การลงทุนของดิวนั้น ช่วงแรกที่พอร์ตยังเล็กจะเน้นลงทุนเสี่ยงสูง ทั้งหุ้นเติบโตและฟิวเจอร์ส เพื่อเร่งให้เงินก้อนโตขึ้น เช่น จาก 20 ล้านเป็น 100 ล้าน เพราะถ้าทำแค่กำไร 20–30% ต่อปีจะใช้เวลานานมาก
พอพอร์ตใหญ่แล้วจึงปรับมาเน้นหุ้นปันผลและลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม รายได้จากการลงทุนปัจจุบันคิดเป็น 80% ของรายได้ทั้งหมด มองว่าช่วงวัยหนุ่มสามารถเสี่ยงได้เพราะยังมีแรงและเวลาฟื้นตัวจากความล้มเหลว แต่เมื่ออายุมากขึ้นควรลดความเสี่ยงลง
ด้านส่วนการลงทุนของ ‘ซีเค-เจิง’ เขาบอกว่าตัวเองมองเห็นโอกาสตลาดคริปโต โดยเฉพาะ Layer 1 blockchain เช่น Bitcoin, BNB Chain หรือ Ethereum มีศักยภาพมากกว่าหุ้นดั้งเดิม หลังจาก Bitcoin และ Ethereum ราคาร่วงแรงช่วงปี 2018–2020 จน Ethereum ลงไปเหลือ 86 ดอลลาร์ เขาตัดสินใจขายหุ้นเกือบทั้งหมด เหลือเพียงบางตัวอย่าง Amazon, Facebook, Google แล้วนำเงินไปทุ่มซื้อคริปโตเต็มพอร์ต เน้นหาตัวที่แก้ปัญหา Scalability และ TPS ของ Ethereum ได้
หนึ่งในนั้นคือ Solana ที่ซื้อที่ราคาเพียง 0.25 ดอลลาร์ด้วยเงินราว 10 ล้านบาท และภายหลังก็เติบโตจนมูลค่าพุ่งมหาศาล
แม้จะได้กำไรมาก แต่ประสบการณ์ก็สอนว่าความผันผวนของคริปโตสูงมาก ช่วงพฤษภาคม 2021 ซึ่งใกล้จุดพีคของตลาด ราคากลับร่วงลงกว่า 50% ภายในเวลาไม่นาน ทำให้สูญเสียมูลค่าพอร์ตเทียบเท่ารถหลายคันในวันเดียว เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่าต้องปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงและความเครียด แม้ยังเชื่อในศักยภาพของสินทรัพย์ดิจิทัลก็ตาม
นอกจากนี้ ซีเคยังชอบลงทุนในหนี้มาก โดยเฉพาะตราสารหนี้เอกชน (Corporate Debt) ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น SSC จ่าย 6.5% และ UBS จ่าย 7% แม้จะมีความเสี่ยงสูงกว่าและสภาพคล่องน้อยกว่า แต่ข้อดีคือสามารถนำตราสารหนี้เหล่านี้ไปใช้ค้ำประกันเพื่อกู้เงินต้นทุนต่ำจากสวิตเซอร์แลนด์ (ดอกเบี้ยราว 1%) ทำให้ได้กำไรสุทธิจากดอกเบี้ยส่วนต่างราว 6%
จากนั้นจึงนำเงินที่กู้มาไปลงทุนใน Private Equity อย่าง KKR ที่ทำโครงการ Infrastructure และ Data Center ซึ่งมีผลตอบแทนเฉลี่ยราว 12% ต่อปี รวมแล้วจึงได้ผลตอบแทนทบต้นจาก “เงินฟรี” ที่เกิดจากการใช้เลเวอเรจอย่างมีระบบ
เขามองว่าช่วงนี้ลงทุนใน ‘หนี้’ เป็นโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด เพราะแม้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะปลอดภัยกว่า แต่ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ไม่สามารถสูงตลอดไปได้ เพราะปัจจุบันสหรัฐฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้มากกว่างบอื่นๆ และส่วนหนึ่งเป็นการจ่ายให้กับผู้ถือครองตราสารหนี้ต่างชาติ ซึ่งในมุมของเขาตีความว่าดอกเบี้ยในอนาคตมีแนวโน้มลดลง การล็อกอัตราผลตอบแทนสูงในตอนนี้จึงเป็นจังหวะทอง
ขณะที่การลงทุนของ ‘ท๊อป-จิรายุส’ ยอมรับว่าช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ทำบิทคับมีเทรดคริปโตฯ บ้าง แต่พอปั้นบิทคับแล้วก็ไม่มีเวลา เน้นถือไว้เฉยๆ เอาแรงไปลงทุนธุรกิจ
[ คนไทยใช้เงินมากกว่าที่หาได้ จะเอาเงินที่เหลือไปลงทุนได้ยังไง? ]
หลังจากแชร์แนวทางการลงทุนของแต่ละคนไปแล้ว ‘ท๊อป-จิรายุส’ เลยถามทุกคนต่อว่า คนไทยใช้เงินมากกว่าที่หาได้ จะเอาเงินที่เหลือไปลงทุนได้ยังไง เพื่อสู้เงินเฟ้อ?
สำหรับ ‘พอล-ภัทรพล’ เขาแชร์แนวคิดหาเงินว่าหลักๆ หากใช้เวลาแลกเงินด้วยการทำงานประจำ จะมีเพดานรายได้และไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อราว 10% ต่อปีได้ วิธีที่จะสู้ได้มีเพียง 2 ทาง คือ “ทำธุรกิจเป็น” หรือ “ลงทุนเป็น” ซึ่งการทำธุรกิจแม้จะยาก แต่จำเป็นสำหรับคนที่ต้องการขยับจากระดับไม่กี่ล้านไปสู่ระดับหลายสิบล้าน ในขณะที่ถ้าอยู่ในระดับใกล้พันล้านแล้ว การลงทุนจะง่ายกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำธุรกิจเอง
ส่วนดิวมองว่า สำหรับคนที่มีรายได้ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่ายังไงก็ไม่มีทางไปถึงฝันได้ เพราะรายได้เท่านี้ เถียงก็แทบไม่ออก “เวลาผมได้ยินประโยคแบบนี้ก็เข้าใจ เพราะแถวบ้านผมเห็นเยอะมาก เลิกงานเย็นมาก็นั่งกินเหล้าริมถนน สูบบุหรี่ บางทีก็ไปนวด วันหนึ่งหมดเป็นพันบาท ทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีวันขับเบนซ์ได้ แต่เบียร์ขวดละร้อยดื่มแล้วสุขได้ทันที ก็เลือกความสุขตรงหน้าแทน”
พอเป็นแบบนี้ เงินก็ไม่มีวันสะสมเป็นก้อนใหญ่เพื่อไปลงทุนได้ ส่วนตัวผมคิดว่าปัญหาไม่ได้มีแค่รายได้น้อย แต่ส่วนใหญ่ “ไม่มีความรู้เรื่องการเงินและการลงทุน” จริงๆ เคยมีคนมาคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กดิวบอกว่าไม่รู้จักแม้กระทั่งคำว่าหุ้นปันผลไม่รู้ว่าหุ้นคืออะไร ซื้อยังไง หุ้นขึ้นลงเพราะอะไร หรือเราจะได้ประโยชน์อะไรจากการถือหุ้นดี ๆ ที่สร้างผลตอบแทนได้
ปัญหาคือไม่มีใครออกมาให้ความรู้ และถ้าเจ้าตัวไม่เปิดใจฟังหรือศึกษา ก็จะไม่มีทางพาตัวเองจากจุดศูนย์ไปสู่ขั้นต่อไปได้เลย สุดท้ายก็วนอยู่ในวงจรเดิมๆ
ด้านซีเคเชื่อว่า “คนที่พยายาม และอยากจะเก่งขึ้นทุกๆ วันยังไงก็ต้องมีมูลค่าในสังคม และคนที่หาเงินมาเองไม่กลัวจน ถ้าเก่งขึ้น หาเงินได้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายคุมอยู่ เน้นลงทุน ยังไงก็รวย”
[ แล้วคนไทยเคยประหยัดอะไรแบบผิดๆ ไหม? ]
‘หมู-ณัฐวุฒิ’ บอกว่า สิ่งที่คนไทยประหยัดแบบที่ไม่ควรประหยักคือเรื่องของ “เวลา” ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสกุลเงินที่มีค่ามากที่สุด ทุกคนมีจำกัดและลดลงทุกวัน เงินสามารถซื้อเวลาได้ เช่น จ้างแม่บ้าน ซื้อบริการที่ช่วยให้เรามีเวลาพักหรือทำงานมากขึ้น ถึงจุดหนึ่ง เงินที่มากพอสามารถใช้ซื้อเวลาคืนมาได้ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมหาศาล
ด้านซีเคให้ความเห็นว่า สิ่งหนึ่งที่คนไทยมักประหยัดผิดที่คือ “ที่อยู่อาศัย” หลายคนยอมเช่าไกลๆ เดินทางวันละหลายชั่วโมงเพื่อประหยัดค่าเช่า ทั้งที่ความจริงแล้ว การอยู่ใกล้ที่ทำงานช่วยประหยัดเวลามาก พักผ่อนได้เต็มที่ สุขภาพกายและจิตก็ดีขึ้น เงินก้อนแรกที่ควรลงทุนคือการเช่าที่ใกล้ที่ทำงานที่สุด เพื่อเพิ่มเวลาและพลังงานให้ตัวเอง
ส่วนพอลเสริมและย้ำว่าอีกเรื่องที่ไม่ควรประหยัดคือ “การลงทุนในความรู้” หนังสือ คอร์สเรียน เวิร์กช็อป คือสิ่งที่จะสร้างมูลค่าให้อนาคตได้จริง การตัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปเพื่อประหยัด อาจทำให้เสียโอกาสทางการเงินในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงบทสรุปสั้นๆ จาก 5 เซียนการเงินของไทย “ใช้เงินให้ซื้อเวลาและคุณภาพชีวิต” ไม่ว่าจะลงทุนคริปโตฯ หุ้นปันผล หรือสินทรัพย์หนี้ ทุกการตัดสินใจต้องอิงความรู้และการบริหารความเสี่ยง
และท้ายที่สุดสิ่งที่ไม่ควรประหยัดคือเวลา ความรู้ และการเลือกที่อยู่อาศัย เพราะทั้งหมดนี้คือการลงทุนในตัวเอง เงินที่มากพอไม่ได้แค่ซื้อของได้ทุกอย่าง แต่ยังซื้อชีวิตที่อยากมีได้ด้วย