‘รับแดด’ แบบไหน ให้ได้ประโยชน์ ไม่เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง
แพทย์ผิวหนังมักบอกให้เรา “เลี่ยงแสงแดด” เพราะรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) สามารถทำร้ายผิว ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย และเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง อีกทั้งเรายังสามารถรับวิตามินดีจากอาหารหรืออาหารเสริมแทนได้
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา งานวิจัยใหม่และเสียงจากแพทย์บางส่วน เริ่มตั้งคำถามกับแนวคิดเดิม โดยชี้ว่า การได้รับแสงแดด “อย่างพอเหมาะ” อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่อาหารเสริมวิตามินดีอาจทดแทนไม่ได้
ดร. ลูซี่ แม็คไบรด์ ( Dr. Lucy McBride ) แพทย์อายุรกรรมจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อธิบายว่า
“วิธีคิดแบบ ‘ห้ามออกแดดถ้าไม่ได้ทากันแดด SPF 50’ เหมือนมองว่าแสงแดดเป็นพิษเสมอ แต่ความจริงแล้ว การรับแดดอย่างพอดีและคำนึงถึงความเสี่ยงของแต่ละคน อาจให้คุณประโยชน์ที่เรายังค้นพบไม่หมด”
กรุงเทพธุรกิจ ได้รวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และมุมมองผู้เชี่ยวชาญ มาให้ผู้อ่านได้เข้าใจทั้งด้านบวกและด้านลบของแสงแดด พร้อมวิธีรับแดดอย่างปลอดภัยเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
แสงแดดกับหัวใจและหลอดเลือด
ลดความดันโลหิต: งานวิจัยพบว่า ความดันโลหิตมักสูงในฤดูหนาวและลดลงในฤดูร้อน ส่วนหนึ่งเพราะรังสี UVB กระตุ้นผิวหนังให้ปล่อย “ไนตริกออกไซด์” (Nitric Oxide) ซึ่งช่วยให้หลอดเลือดผ่อนคลายและความดันลดลง
ลดความเสี่ยงหัวใจล้มเหลว: การศึกษาหนึ่งพบว่าผู้ที่รับแดดมากมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวน้อยลง
อาจช่วยให้อายุยืนขึ้น: งานวิจัยในสวีเดนติดตามผู้หญิงเกือบ 30,000 คนเป็นเวลา 20 ปี พบว่า ผู้ที่เลี่ยงแดดตลอด มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าผู้ที่รับแดดมากถึงสองเท่า ทั้งนี้ กลุ่มที่รับแดดมากก็พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังสูงขึ้นด้วย
แสงแดดกับภูมิคุ้มกันและสุขภาพผิว
ควบคุมการอักเสบ: การทดลองกับผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) พบว่า UVB สามารถกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ช่วยลดการอักเสบ
บรรเทาโรคผิวหนัง: แสง UV ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) และโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง (Eczema)
อารมณ์และสุขภาพจิต: แสงแดดในตอนเช้าอาจช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสุขและการควบคุมอารมณ์
แสงแดดให้มากกว่า “วิตามินดี”
แสงแดดช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดีในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อ กระดูกและระบบภูมิคุ้มกัน แต่ผลวิจัยหลายชิ้น เช่น การศึกษาในปี 2019 และ 2020 พบว่า การเสริมวิตามินดีไม่ได้ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ, เบาหวาน หรือมะเร็งอย่างมีนัยสำคัญ
หมายความว่า ประโยชน์จากแสงแดดอาจไม่ได้มาจากการสร้างวิตามินดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลดีต่อร่างกายด้วย เช่น การช่วยลดความดันโลหิต, เสริมภูมิคุ้มกัน และปรับสมดุลอารมณ์
โทษของแสงแดด
แม้แสงแดดจะมีข้อดีต่อสุขภาพหลายด้าน แต่ก็มีด้านมืดที่ต้องระวัง เพราะแสงแดดประกอบด้วยรังสี UVA, UVB และ UVC ซึ่งสามารถทำร้ายร่างกายได้ เช่น ทำให้เลนส์ตาขุ่นจนเกิดต้อกระจก, ทำลายผิวหนัง, ลดประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และอาจสร้างความเสียหายต่อสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์ จนเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง
หากอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน หรือเจอแดดจัดเกินไป ผิวอาจเกิดการไหม้, แห้ง, แตกหยาบกร้าน, หมองคล้ำ, มีรอยช้ำ, ริ้วรอยก่อนวัย หรือแม้กระทั่งเกิดภาวะลมแดด ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน
รับแดดอย่างไรให้ได้ประโยชน์
แม้แสงแดดจะมีข้อดีต่อสุขภาพ แต่แพทย์ยืนยันว่า มะเร็งผิวหนังยังเป็นภัยร้ายแรง จึงควรรับแดดอย่างระมัดระวังและมีสติ
ดร.ลูซี่ กล่าวสรุปว่า
“เราควรมองแสงแดดอย่างสมดุล ไม่ใช่กลัวจนหลีกเลี่ยงทุกกรณี แต่ก็ไม่ควรประมาท”
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า การรับแดดโดยไม่ทาครีมกันแดดในช่วงเช้าเพียง 10 - 15 นาที สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ก็เพียงพอให้ร่างกายสร้างวิตามินดีได้ในระดับเหมาะสม ทั้งนี้ ระยะเวลาและความถี่ที่เหมาะสม อาจต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสีผิวและความเข้มของรังสี UV ในพื้นที่ด้วย
ผู้ที่มีผิวสีอ่อนมักไวต่อแสงและเสี่ยงผิวไหม้เร็วกว่าผิวสีเข้ม ขณะที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า
ในประเทศไทยรังสี UV จะสูงมากช่วงเวลา 09.00 - 15.00 น. และจะรุนแรงที่สุดราว 10.00 - 14.00 น.
จึงควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อปกป้องผิวและลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพระยะยาว
หากต้องออกแดดในเวลานี้ แนะนำให้ใช้ครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป สวมหมวกปีกกว้าง หรือเสื้อผ้ากันรังสียูวี