ทนายรัชพล พาอดีตนักข่าวร้องDSI จี้คดีถล่มยิงบ้าน ปมเปิดชื่อผู้ถือโฉนดที่ดิน ส่อโยงคนใกล้ชิดเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ
ทนายรัชพล พาอดีตนักข่าวร้องDSI จี้คดีถล่มยิงบ้าน ปมเปิดชื่อผู้ถือโฉนดที่ดิน ส่อโยงคนใกล้ชิดเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 สิงหาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ ทนายรัชพล ศิริสาคร พร้อมด้วย นายตภิกฤษ พวงกุหลาบ อดีตผู้สื่อข่าวที่ถูกยิงถล่มบ้าน เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวน นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือหมอบี ทูตสื่อวิญญาณ เจ้าของเพจ งมงาย สไตล์หมอบี และวัดพระบาทน้ำพุ เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นคดีที่สนใจของประชาชน และปัจจุบันเป็นข่าวหลายวันแล้วยังไม่มีความคืบหน้า เกรงว่าหากพบว่าผิดจริง ก็อาจจะไม่พบตัวผู้ก่อเหตุ จึงมาขอให้รับเป็นคดีพิเศษ โดยมีน.ส.อรุณศรี วิชชาวุธ ผอ.กองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้แทนรับเรื่อง
ทนายรัชพล กล่าวว่า ตนได้ติดตามข่าวนี้มานานแล้วตั้งแต่ที่หมอบีให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่จวบจนวันนี้ 20 ส.ค. แล้วก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าหรือมีหมายเรียกใดเลย ซึ่งทำให้รู้สึกว่าคดีมันล่าช้าเกินไปหรือไม่ และหากหมอบีหรือหลวงพ่ออยากจะไปเยี่ยมญาติที่ต่างประเทศช่วงนี้ เจ้าหน้าที่อาจตามตัวไม่เจอ อีกทั้งเมื่อดูลักษณะคดีก็มีผู้เกี่ยวข้องเยอะ และจำนวนเงินเยอะ รวมถึงคดีกระทบต่อความสงบศีลธรรมอันดีของประเทศ จึงมองว่าเข้าข่ายที่ดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษได้ หรือในทางหนึ่งดีเอสไออาจจะรวบรวมประสานงานกับหน่วยเกี่ยวข้องได้ เพราะคดีนี้เป็นคดีใหญ่ มีความซับซ้อน คงไม่ยากที่ดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษ
ทนายรัชพลกล่าวว่า นอกจากนี้ ถ้าวันนี้ไม่มายื่นเอกสาร ดีเอสไอก็อาจจะบอกว่าไม่มีคนมาร้อง จึงเป็นสาเหตุที่ต้องมาร้องในวันนี้ ทั้งนี้ นายตภิกฤษ พวงกุหลาบ หรือต๊ะ ที่เคยถูกยิงถล่มบ้าน ก็อาจเข้าข่ายเรื่องของการมีผู้ที่มีอิทธิพลมาเกี่ยวข้อง แม้เคยยื่นเรื่องต่อดีเอสไอมาแล้ว แต่คดีก็เงียบ วันนี้คุณต๊ะจึงมายื่นใหม่อีกครั้ง ส่วนตอนนี้คดีมันชัดแล้ว และวานนี้ (19 ส.ค.) นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็มีการแถลงข่าว และมีการกล่าวถึงการมอบเงินสดให้หลวงพ่อ โดยไม่เข้าบัญชีวัดโดยตรง ทั้งยังมีคนนอกมีการถือที่ดินแทนวัด เช่นนี้เป็นเพราะอะไร และการตั้งมูลนิธิ 6 แห่ง มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ใช้เงินกันอย่างไร ซึ่งก็ต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ เพราะการบริจาคเงิน เงินต้องเข้าบัญชีวัด
นายตภิกฤษ เปิดเผยว่า เมื่อปี 2564 ตนได้เคยนำเสนอเกี่ยวกับการตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัย ว่า มันมีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในส่วนของการครอบครองอสังหาริมทรัพย์และโฉนดที่ดินที่ไม่เกี่ยวกับมูลนิธิหรือวัด และพอตนตั้งคำถามไปเช่นนั้น กลับไม่มีการประสานงานเรื่องข้อมูลจากวัดหรือมูลนิธิ แต่มีเพียงสายตำรวจที่สนิทกันมาเตือนให้ตนระวังตัว จากนั้นไม่นาน พอครบ 10 วัน ตรงกับวันที่ 31 ก.ค.64 เวลาประมาณ 01.40 น. มีคนร้ายก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาในบ้านพักตน จึงไปแจ้งความที่ สภ.ท่าโขลง จ.ลพบุรี แต่คดีไม่มีความคืบหน้าจนถึงวันนี้ ตนจึงตัดสินใจนำเอกสารพยานหลักฐานมาร้องที่ดีเอสไอในปีเดียวกัน ขอให้ดีเอสไอดำเนินการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือบุคคลที่ครอบครองที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวกับวัดและมูลนิธิทั้งหมด แต่ก็ไม่มีความคืบหน้านอกจากมีการตั้งเรื่องสืบสวน
ต่อมาปี 2566 จึงได้ติดตามเรื่องความคืบหน้ากับดีเอสไอ ทราบว่าดีเอสไอได้ส่งเรื่องให้ทางสำนักงานจังหวัดลพบุรี เป็นผู้ดำเนินการต่อไป และเมื่อตนรู้เช่นนี้ ก็ไม่ได้ติดตามกับทางจังหวัดอีก เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางแล้วที่จะคืบหน้าไปกว่านี้ ส่วนตอนนี้ตนไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าเรื่องดังกล่าวมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่ตอนได้รับคำเตือนจากสายตำรวจที่สนิทกัน เขาระบุมาเลยว่า คนสนิทของเจ้าอาวาสให้ทางตำรวจสายสืบจังหวัดลพบุรี พยายามเช็คข้อมูลของตนว่าพักอาศัยอยู่ที่ไหน ซึ่งเรื่องนี้ตนก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงอย่างไรหรือไม่ แต่ทางตำรวจที่สนิทกันยืนยันมาว่าเจ้าอาวาสเป็นผู้ให้เช็คจริง แล้วตอนที่ที่เกิดเหตุบ้านพักอาศัยตนถูกยิง ตนก็ได้เข้าไปให้ปากคำกับ รอง ผบช.ภ.1 และผู้บังคับการจังหวัดลพบุรี อีกทั้งก็ทราบว่ามีการสอบปากคำตำรวจสายสืบที่สนิทกับตนแล้ว จากนั้นนายตำรวจสายสืบรายนี้ ก็ถูกย้ายไปเกือบหนึ่งเดือน ปัจจุบันทราบว่ากลับมาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบที่จังหวัดลพบุรีเหมือนเดิมแล้ว
นายตภิกฤษ กล่าวว่า สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ตนถูกบุกยิงกลางดึก คิดว่าไม่มีชนวนเหตุอื่น นอกจากเรื่องที่ตนตั้งคำถามเกี่ยวกับวัด คิดว่าเรื่องนี้มันอยู่ในห้วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดี สอดคล้องกับเรื่องราว เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับวัดและมูลนิธิแน่นอน ส่วนคนที่ครอบครองทรัพย์สินของวัด ก็เป็นรายชื่อของบุคคลที่ปรากฏตามหน้าสื่อทุกวันนี้ ซึ่งก็ตรงกับข้อมูลของตนที่มีการตั้งคำถามในอดีต ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนใกล้ชิดหลวงพ่อ บ้างก็เป็นคนมีตำแหน่งในมูลนิธิและวัด ทั้งนี้ วันนี้ตนเดินทางมาที่ดีเอสไออีกครั้ง เพื่อขอดูเอกสารเดิมที่เคยยื่นไว้เมื่อปี 2564 หากทางดีเอสไอจะไม่รับไปดำเนินการต่อ ตนจะขอนำเอกสารไปมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อสืบสวนเรื่องการถือครองอสังหาริมทรัพย์และโฉนดที่ดิน รวมไปถึงอาจพิจารณาว่าหากเรื่องยังคงเงียบ ตนและทนายรัชพลอาจจะเดินทางไปที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)
นายตภิกฤษ กล่าวอีกว่า ปกติแล้วตนจะเดินทางกลับเข้าบ้านในช่วงเวลา 02.00 น. แต่วันนั้นน้าและแม่ได้ทักว่าทำไมตนถึงกลับบ้านไวผิดปกติ เพราะวันนั้นตนถึงบ้านในเวลา 01.30 น. แต่พอ 01.40 น. คนร้ายมาก่อเหตุคงไม่ใช่มือสมัครเล่นอย่างแน่นอน เพราะที่เกิดเหตุไม่พบปลอกกระสุนตก คาดว่าน่าจะมีการเตรียมการมาพอสมควร เหมือนเป็นการพุ่งเป้าจะเอาชีวิต ซึ่งถ้าตนกลับเข้าบ้านในเวลาปกติ เวลา 02.00 น. ก็คงถูกยิง นอกจากนี้ทางตำรวจในพื้นที่ยังสืบสวนพบว่า คนร้ายที่มาก่อเหตุมีการใช้เส้นทางรองในการสัญจร โดยไม่ใช้เส้นทางหลักที่มีกล้องวงจรปิด แต่ก็มีหลักฐานเชื่อว่ามีการส่งตัวมือปืนขึ้นรถ ก่อนตรงมาก่อเหตุ และในส่วนของทะเบียนรถที่ใช้ก่อเหตุ คือ รถจักรยานยนต์ และมีกระบะด้วย ตนไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปถึงอย่างไรแล้ว ทั้งนี้ ตนคงไปสงสัยใครไม่ได้ และพาดพิงใครไม่ได้ แต่เชื่อว่าตำรวจมีกลุ่มเป้าหมายที่สงสัยอยู่แล้ว ตนเพียงแค่ประสงค์ให้เรื่องนี้ไม่เงียบซาหรือไร้ความคืบหน้า
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ทนายรัชพล พาอดีตนักข่าวร้องDSI จี้คดีถล่มยิงบ้าน ปมเปิดชื่อผู้ถือโฉนดที่ดิน ส่อโยงคนใกล้ชิดเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th