โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

โคทม อารียา : ความไม่แน่นอนบนเส้นทางประชาธิปไตย

MATICHON ONLINE

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

อาจารย์เซนคนสำคัญคนหนึ่งที่ไปฝึกสอนเซนให้ชาวอเมริกาได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เล่มหนึ่งใช้ชื่อว่า “ไม่เสมอไป” (Not Always So) ซึ่งชื่อน่าจะใช้ได้กับบทความฉบับนี้ การกระทำเพื่อหวังผลอย่างหนึ่ง เช่น เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย หรือเพื่อขัดขวางประชาธิปไตย ผลการกระทำอาจไม่เป็นดังที่ตั้งใจไว้เสมอไป

มีเรื่องเล่าจากจีนเรื่องหนึ่งมีความโดยย่อว่า ชาวชนบทคนหนึ่งเป็นคนเลี้ยงม้า อยู่มาวันหนึ่งม้าของเขาตัวหนึ่งหายไป คนในหมู่บ้านจึงมาแสดงความเสียใจกับเรื่องร้ายนั้น แต่เขาปรารภว่า “มันอาจจะดีก็ได้” หลายวันต่อมา ม้าของเขากลับมาพร้อมม้าติดตามมาอีกหนึ่งตัว เพื่อนบ้านมาแสดงความยินดี แต่เขาปรารภว่า “มันอาจจะไม่ดีก็ได้” และก็จริง ๆ ด้วย เมื่อลูกชายไปขี่ม้าตัวที่ได้มาใหม่ มันเกิดพยศ สลัดจนลูกชายตกลงมาขาหัก คราวนี้เพื่อนบ้านคนเดิม ๆ มาแสดงความเสียใจอีก ส่วนเขาก็ตอบเช่นเดิมว่า“มันอาจจะดีก็ได้” แล้วก็จริงๆ ด้วย มีการยกทัพผ่านมา และคนหนุ่มทุกคนถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ในการรบทัพจับศึกนั้นเป็นตายเท่ากัน แต่ลูกชายที่ขาหักไม่ถูกเกณฑ์ โชคดีไปที่ตกม้าจนขาหัก

ผมไม่ชำนาญเรื่องหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ แต่มีความอยากรู้อยากเห็นและชอบการอ่าน อ่านจากหนังสือบ้างและจากอินเตอร์เน็ตบ้าง เกิดอยากรู้ว่าประชาธิปไตยมีความเป็นมาอย่างไร เข้าใจได้ว่าสหรัฐอเมริกาเมื่อครั้งที่ประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1776 ได้สถาปนาระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ เพราะเพิ่งแยกทางจากระบอบราชาธิปไตย ไม่มีราชสกุล และจะสถาปนาใครเป็นพระราชาก็คงยาก เอาเป็นว่าต้องยึดรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ ทุกองคาพยพ (ประธานาธิบดี สภา ศาล) ต้องทำตามรัฐธรรมนูญ นี่คือเส้นทางเส้นหนึ่งสู่ประชาธิปไตย การไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นทุนทางการเมือง “มันอาจจะดีก็ได้”

ผมอยากรู้เรื่องการกำเนิดประชาธิปไตยในอังกฤษ จึงใช้วิธีสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต พบว่าก่อนหน้าการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกานั้น อำนาจการเมืองในยุโรปอยู่ในกลุ่มฐานันดรสามกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งคือกลุ่มพระ/ผู้นำศาสนา กลุ่มที่สองคือกลุ่มขุนนาง/เจ้าที่ดิน และกลุ่มที่สามคือกลุ่มพ่อค้า/ข้าแผ่นดิน กลุ่มที่สามมีจำนวนมาก มีอำนาจทางเศรษฐกิจบ้างแต่มีอำนาจทางการเมืองน้อย กลุ่มที่สองมีอำนาจทางการทหาร และการเก็บภาษี ส่วนกลุ่มที่หนึ่งมีอำนาจทางความเชื่อและสะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก ฐานันดรทั้งสามมีความขัดแย้งกันเสมอ ทั้งในกลุ่มฐานันดรเดียวกัน และระหว่างกลุ่ม

ก้าวแรกบทเส้นทางประชาธิปไตยที่เน้นการเคารพสิทธิมนุษยชน คือการจำกัดสิทธิของกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้หลักนิติธรรม โดยการรับรองเสรีภาพทางการเมืองของพลเมือง ในเรื่องนี้ชาวอังกฤษเริ่มก่อน โดยออกเอกสารสำคัญที่ชื่อว่า “กฎบัตรเสรีภาพอันยิ่งใหญ่” (Magna Carta Libertatum) ในปี ค.ศ. 1215 สาระสำคัญของกฎบัตรคือการให้ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับความยุติธรรมและการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม และการเก็บภาษีจะต้องได้รับความยินยอมจากสภาขุนนาง

ต่อมาอีกหลายร้อยปี มีการปฏิรูปศาสนาครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 1517 นำโดยมาร์ติน ลูเธอร์ ผู้ปฏิเสธการที่พระสันตะปาปาถือว่าตนคือผู้ตัดสินความเที่ยงแท้ของคำสอนแต่เพียงผู้เดียว เพราะได้รับมอบหมายจากพระเจ้า การปฏิรูปทำให้เกิดคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ขึ้น โดยชาวโปรเตสแตนต์เชื่อว่าตนสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้โดยไม่ต้องอาศัยคริสตจักรคาทอลิกเป็นตัวแทน ความขัดแย้งทางความเชื่อนี้รุนแรงมากและแพร่กระจายไปทั่วยุโรป จนเกิดสงครามในแคว้นต่าง ๆ ระหว่างผู้ที่นับถือนิกายคาทอลิกกับที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ สงครามเริ่มในปี ค.ศ. 1618 และมาสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1648 โดยการทำสนธิสัญญากันที่เมืองเวสต์ฟาเลียเพื่อกำหนดเขตแดนให้ชัดเจนขึ้น และให้เลิกเบียดเบียนกันบนพื้นฐานความแตกต่างทางศาสนา สงครามครั้งนี้มีชื่อว่าสงครามสามสิบปีที่ยังความบอบช้ำอย่างมากมาสู่ประชากรยุโรป โดยเฉพาะในภาคกลางของทวีป ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือนระหว่าง 4.5 ถึง 8 ล้านราย

ในขณะที่สงครามสามสิบปียังไม่สิ้นสุด ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในอังกฤษ ระหว่างกองทัพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 กับกองทัพของรัฐสภานำโดยโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ สงครามนี้เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1642 ถึง 1651 โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 85,000 ราย ความขัดแย้งหลักยังเป็นเรื่องศาสนา (รวมทั้งความระแวงว่ากษัตริย์เข้าข้างฝ่ายคาทอลิก) อีกทั้งมีความเห็นต่างกันในเรื่องการปกครองของสามอาณาจักร คือ อังกฤษเอง สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์

ความขัดแย้งเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1628 เมื่อชาร์ลส์ที่ 1 รับข้อเสนอ 4 ข้อที่รัฐสภาเสนอโดยสอดคล้องกับกฎบัตรเสรีภาพอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ

1) จะไม่ขึ้นภาษีหากรัฐสภาไม่เห็นด้วย,

2) จะไม่จับประชาชนเข้าคุกโดยไม่มีสาเหตุ,

3) จะไม่ส่งทหารไปพักอยู่กับประชาชน, และ

4) จะไม่ประกาศกฎอัยการศึกในยามปกติ

แต่ชาร์ลส์ที่หนึ่งเมื่อรับปากแล้วก็ไม่ทำตาม และต่อมาเมื่อรัฐสภาไม่อนุมติเงินให้กษัตริย์ไปทำสงคราม พระองค์จึงสั่งยุบรัฐสภาเป็นเวลา 11 ปี (ค.ศ. 1629 – 1640) เมื่อพระองค์เปิดรัฐสภาใหม่ ความสัมพันธ์ได้เลวร้ายลงอีกเมื่อรัฐสภาปฏิเสธคำของบประมาณอีกครั้ง และเมื่อพระองค์ส่งทหารไปเพื่อจับกุมสมาชิกรัฐสภาบางคนแต่ตามหาตัวไม่พบ ครอมเวลล์ผู้นำคนหนึ่งของรัฐสภาจึงได้นำกองทัพในการจัดตั้งของตนมาคุ้มครองรัฐสภา ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น

สงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงโดยรัฐสภาเป็นฝ่ายชนะ พระเจ้าชาร์ลส์ที่หนึ่งถูกจับตัวขึ้นศาล แต่พระองค์ถือว่ามีเทวสิทธิ์จึงไม่ยอมรับความชอบธรรมของศาล พระองค์ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตัดพระเศียรเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1649 หลังจากนั้น ครอมเวลล์ประกาศระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ต่อมาในปี ค.ศ. 1657 เขาตั้งตนเองเป็น “เจ้าผู้อารักขา” (Lord Protector) แต่มาสิ้นชีวิตในปีถัดไป ลูกชายของเขาที่ชื่อริชาร์ดไม่มีความสามารถที่จะปกครองสืบต่อไปได้ ฝ่ายนิยมกษัตริย์จึงได้เชิญโอรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 มาสืบราชสมบัติโดยทรงพระนามว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ดำเนินการให้มีการประหารชีวิตผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพิพากษาประหารชีวิตพระบิดาของพระองค์ ส่วนเหตุการณ์รุนแรงอื่นๆ ได้ลดลง เหลือเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกันตามปกติ การฟื้นคืนสู่ระบอบราชาธิปไตยที่มีการแบ่งอำนาจระหว่างกษัตริย์กับรัฐสภาถือว่าประสบความสำเร็จ แม้นจะมีระบอบสาธารณรัฐมาแทรกเพียงไม่กี่ปี ถ้าถือคติของคนเลี้ยงม้าในเรื่องที่นำมาเล่าในตอนต้น การประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลส์ที่หนึ่งและชัยชนะของครอมเวลล์ “มันอาจจะดีก็ได้”

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางศาสนาในอังกฤษยังคุกรุ่นอยู่ เมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1685 ความตึงเครียดระหว่างชาวโปรเตสแตนต์และคาทอลิกก็ยิ่งแย่ลงไปอีก เพราะเจมส์ผู้นับถือนิกายคาทอลิก ได้สนับสนุนชาวคาทอลิกในหลายด้าน ประกอบกับทรงเจริญสัมพันธไมตรีที่ใกล้ชิดกับฝรั่งเศสที่เป็นคาทอลิก สถานการณ์เช่นนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวอังกฤษที่เป็นโปรเตสแตนต์จำนวนมาก ขุนนางชั้นสูง 7 คนจึงมีหนังสือถึงพระธิดาชาวโปรเตสแตนต์ของเจมส์ พระนามว่า แมรีที่ 2 และสามีชาวดัตช์ของเธอพระนามว่า เจ้าชายวิลเลียมที่ 3 แห่งราชสกุลออเรนจ์ โดยยืนยันว่าจะสนับสนุนให้ขึ้นครองราชย์ ทั้งสองพระองค์จึงรวบรวมเงินทองและไพร่พล เดินทัพเรือมาขึ้นบกที่เมืองเดวอน เจมส์ทำการต่อต้านเล็กน้อย แล้วยอมสละราชบัลลังก์และย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสในปลายปี ค.ศ. 1688 เหตุการณ์นี้ได้รับการขนานนามว่าการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) หมายความว่าการรุกรานจากต่างแดนและการรัฐประหารครั้งนี้ “มันอาจจะดีก็ได้”

แมรีและวิลเลียมได้ขึ้นครองราชย์ร่วมกัน แต่ยังไม่มีฐานทางการเมืองที่มั่นคง จึงเป็นโอกาสให้พรรควิกส์ (Whigs) ที่สนับสนุนให้รัฐสภามีอำนาจเหนือสถาบันพระมหากษตริย์ ออกมาขับเคลื่อนให้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ (Bill of Rights of 1689) พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นหมุดหมายของการเปลี่ยนวิธีการปกครองของอังกฤษไปเป็นระบอบรัฐสภาที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญและธรรมเนียมปฏิบัติ เมล็ดพันธุ์ของประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้ถูกหว่านลง

อังกฤษได้เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยมีความรุนแรงน้อย โดยสถาบันพระมหากษัตริย์เองเห็นความจำเป็นในการลดบทบาทของตนลง ทั้งนี้ ราชโองการทุกโองการจะต้องมีผู้รับสนอง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบทางการเมืองต่อราชโองการนั้น แม้พระองค์ทรงวางตัวเป็นกลางทางการเมือง แต่ก็สามารถ “แนะนำและเตือน” รัฐมนตรีรวมถึงนายกรัฐมนตรีได้เมื่อจำเป็น อย่างไรก็ดี ในกรณีของอังกฤษปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ทุกสัปดาห์เพื่อหารือข้อราชการเป็นการส่วนตัว โดยพระองค์ได้รับสำเนาเอกสารของรัฐทั้งหมด บันทึกของคณะรัฐมนตรีทั้งหมด ข่าวกรองด้านความมั่นคง และรายงานจากเอกอัครราชทูตอังกฤษทั่วโลก เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข่าวสารข้อมูลประกอบบทบาท “แนะนำและเตือน” ของพระองค์

ฉากต่อไปจะขอกล่าวถึงเหตุการณ์ในฝรั่งเศสในยุคสมัยไล่เลี่ยกัน ผมได้ซื้อหนังสือมาหลายเล่มจากมหกรรมหนังสือ บังเอิญเพิ่งหยิบเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า“การปฏิวัติฝรั่งเศส” เขียนโดยพีรวุฒิ เสนามนตรี ขึ้นมาอ่าน จึงขอใช้ข้อมูลจากหนังสือเล่มนี้ในการเขียนบทความต่อไป

ในปี ค.ศ. 1610 พระเจ้าอองรีที่ 4 แห่งราชสกุลบูร์บ็องถูกลอบปลงพระชนม์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์มีอัครเสนาบดีคู่พระทัยคือพระคาร์ดีนัลริเชอลีเออ เรารู้จักริเชอลีเออในฐานะตัวร้ายของนิยายเรื่อง“สามทหารเสือ” แต่ท่าน “อาจจะดีก็ได้” ด้วยบทบาทในการสร้างสันติภาพและด้วยความแหลมคมทางการเมือง และ “อาจจะไม่ดีก็ได้” ด้วยบทบาทในการปราบปรามผู้เห็นต่าง หลุยส์ที่ 13 อภิเษกสมรสกับพระนางแอนด์แห่งออสเตรีย ซึ่งในปี ค.ศ. 1638 ทรงให้กำเนิดรัชทายาท ต่อมารัชทายาทผู้นี้ได้ขึ้นครองราชย์เมื่ออายุเพียง 5 พรรษาและครองราชย์อยู่ยาวนานจนถึงปี ค.ศ. 1715 รวม 72 ปี นานจนสามารถทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระบิดาทรงเริ่มไว้สมบูรณ์และแข็งแรง

กรณีเส้นทางประชาธิปไตยของฝรั่งเศสต่างจากของอังกฤษตรงที่ว่า ก่อนการปฏิวัติ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศสแข็งแรงจนพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตรัสว่า “ข้าฯคือรัฐ” ส่วนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของอังกฤษนั้นอ่อนแอ แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติ สาธารณรัฐของอังกฤษได้พลิกกลับไปเป็นราชอาณาจักรอีกครั้งโดยไว ส่วนฝรั่งเศสมีการเปลี่ยนระบอบการปกครองหลายครั้งหลังการสถาปนาสาธารณรัฐที่ 1 ดังจะกล่าวต่อไป อาจกล่าวในแง่นี้ได้ว่า ความเข้มแข็งของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ “อาจไม่ดีก็ได้”

เมื่อหลุยส์ที่ 14 มีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงเข้าพิธีราชาภิเษก พระมารดาก็ลดบทบาทการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลง แต่คาร์ดีนัลมาซาแร็งผู้เป็นอัครเสนาบดียังค้ำจุนราชอำนาจต่ออีกสิบปีจนสิ้นบุญ จากนั้นหลุยส์ที่ 14 ไม่ทรงตั้งอัครเสนาบดี หากทรงลดทอนอำนาจขุนนางเรื่อยมา และให้อำนาจมารวมศูนย์ที่พระองค์แต่ผู้เดียว ขณะเดียวกัน บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะสงครามมาโดยตลอด เช่น

1) สงครามฝรั่งเศส-สเปน (ค.ศ. 1667-1668)
2) สงครามฝรั่งเศส-เนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 1672-1678)
3) สงครามเก้าปีกับสันนิบาตแห่งออกสบัวก์ (ค.ศ. 1688-1697)
4) สงครามชิงราชสมบัติสเปน (ค.ศ. 1701-1714)

ในสงครามเหล่านี้ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายชนะ แต่ “มันอาจไม่ดีก็ได้” เพราะราชอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรเริ่มหวาดระแวงในความเข้มแข็งของกองทัพฝรั่งเศส อีกทั้งการทำสงครามสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ทำให้รัฐขาดดุลการค้า และมีหนี้สินมาก รัฐจึงพยายามเก็บภาษีเพิ่ม แต่ต้องยอมยกเว้นไม่เก็บภาษีแก่คนบางกลุ่ม ภาษีที่ได้จึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีแต่ความไม่พอใจนั่นแหละที่กระจายไปทั่ว ประหนึ่งเป็นการเตรียมเชื้อเพลิงไว้สำหรับการปฏิวัติปี ค.ศ. 1789

อีกปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การปฏิวัติคือปัจจัยทางวิชาการ ถือกันว่าราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็น “ยุคเรืองปัญญา” (Enlightenment Years) ในยุโรป ในยุคนี้มีนักปราชญ์หลายคน อาทิ เรอเน เดส์การต์, จอห์น ล็อก, มองเตสกีเออ, ฌัง-ฌากส์ รุสโซ, ไอแซก นิวตัน, วอลแตร์ ที่นำเสนอแนวคิดมนุษยนิยม, เหตุผลนิยม, และการปกครองโดยรัฐธรรมนูญ เป็นต้น พร้อมทั้งเน้นในเรื่องวิทยาศาสตร์ และเสรีภาพ ในฐานะปัจจัยแห่งการเจริญก้าวหน้าทางปัญญา แนวคิดเหล่านี้ชวนให้มีโลกทัศน์ที่กว้างและเปิดรับการเปลี่ยนแปลง ในแง่หนึ่ง การ “เรืองปัญญา” อาจไม่ดีก็ได้ เพราะนำไปสู่การปฏิวัติที่รุนแรง

หลุยส์ที่ 14 ครองราชย์ยาวนานจนโอรสล้วนสิ้นพระชนม์ไปก่อน พระองค์จึงแต่งตั้งราชนัดดาเป็นรัชทายาท พร้อมคำสั่งเสียก่อนสวรรคตว่า “จงอยู่อย่างสันติ” แต่ความหวังของพระองค์ยากจะเป็นจริง ในรัชสมัยของหลุยส์ที่ 15 ได้เกิดสงครามหลายครั้ง ที่สำคัญคือ

1) สงครามชิงราชสมบัติโปแลนด์
2) สงครามชิงราชสมบัติออสเตรีย
3) สงครามฝรั่งเศส-อังกฤษในอาณานิคมและในภาคพื้นทวีปยุโรปที่เรียกว่าปรัสเซีย

เข้าใจว่าฝรั่งเศสต้องเข้าไปช่วยรบในสงครามชิงราชสมบัติเพราะมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติผ่านการสมรสระหว่างราชวงศ์ แต่ยิ่งทำสงคราม เศรษฐกิจก็ยิ่งแย่ จนดูเหมือนว่าหลุยส์ที่ 15 จะปรารภว่า “หลังสิ้นข้าฯ พายุใหญ่จะตามมา” ซึ่งอาจตีความได้สองทางคือ หลังสมัยพระองค์ จะเกิดอะไรก็ช่าง หรือเป็นการทำนายเชิงเตือนให้ระวัง

แล้วพายุใหญ่ก็เกิดขึ้นจริงในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในขณะนั้น ประชากรฝรั่งเศสมีประมาณ 28 ล้านคน ในจำนวนนี้ ผู้มีฐานันดรที่ 1 (พระ/นักบวช) มีประมาณ 120,000 คน ผู้มีฐานันดรที่ 2 (ขุนนาง/เจ้าของที่ดิน) มีประมาณ 110,000 ถึง 400,000 คน ที่เหลือทั้งหมดเกือบ 28 ล้านคน มีฐานันดรที่ 3 (ชนชั้นกลาง/ชาวชนบทที่ไร้ที่ดิน) ในการประชุมสภาฐานันดร แต่ละฐานันดรมีสมาชิกสภาจำนวนเท่ากัน หลุยส์ที่ 13 ได้งดประชุมสภาฐานันดรมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1614 เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีความเข้มแข็ง แต่หลุยส์ที่ 16 มาเปิดประชุมใหม่ในปี ค.ศ. 1789 โดยเปลี่ยนสัดส่วนให้ฐานันดรที่ 3 มีสมาชิกเป็นสองเท่าของอีกสองฐานันดร พระองค์คงหวังให้ฐานันดรที่ 3 สนับสนุนพระองค์ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เมื่อการประชุมสภาไม่ราบรื่น มีการเสนอให้แต่ละฐานันดรจัดประชุมแยกกัน อย่างไรก็ดี ฐานันดรที่ 3 มีวาระอื่นด้วยนอกจากวาระเศรษฐกิจ นั่นคือ ต้องการปรับปรุงโครงสร้างกฎหมายและจัดตั้งสภานิติบัญญัติ

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1789 หลุยส์ที่ 13 นัดประชุมเฉพาะฐานันดรที่ 3 ที่พระราชวังแวรซายส์ เหตุบังเอิญที่หันเหเรื่องราวที่ตามมาก็คือ พระราชวังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซมแต่สำนักราชวังไม่ได้แจ้งให้ผู้ที่จะเข้าร่วมประชุมทราบ ด้วยความโกรธเคืองและมุ่งมั่น สมาชิกสภาฐานันดรที่ 3 เลยเข้ายึดสนามเทนนิสเป็นที่ประชุม และมีมติว่าจะประชุมที่นี่จนกว่าการร่างรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จ ฝ่ายกษัตริย์ไม่ต่อต้าน แต่ก็เกิดความเข้าใจผิดจนได้ เมื่อมีการเพิ่มกำลังทหารราชองค์รักษ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารต่างชาติ

จากความเข้าใจผิดและด้วยความกลัวเป็นเจ้าเรือน เหตุการณ์ได้ลุกลามไปใหญ่โต ชาวปารีสส่วนหนึ่งเข้าใจผิดว่าที่ประชุมสนามเทนนิสถูกคุกคาม จึงตั้งกองกำลังขึ้น และบุกไปยึดปืนที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก (Les Invalides) ฝ่ายกษัตริย์เกรงเรื่องการยึดอาวุธอยู่แล้ว แม้จะมอบปืนให้โดยดีเพื่อเลี่ยงการปะทะ แต่ก่อนหน้านั้นได้ย้ายดินปืนไปไว้ที่ป้อม “ลา บัสตีย์” ซึ่งขณะนั้นใช้เป็นคุกสำหรับชนชั้นสูง เรื่องเล่าที่ว่าต้องบุกคุกลา บัสตีย์เพื่อปล่อยนักโทษฐานันดรที่ 3 ก็ไม่เป็นจริง

การเจรจากับผู้อำนวยการป้อมลา บัสตีย์ ดำเนินไปค่อนข้างจะดี แต่ล่าช้าไปหน่อย ในที่สุดพอตกลงที่จะมอบดินปืนให้ ก็มีคนใจร้อนหรือตัวป่วนก็ไม่ทราบ บุกเข้าไปตัดคอผู้อำนวยการและนายกเทศมนตรีปารีสเสียบประจาน เรื่องจึงมาถึงจุดที่ยากจะคืนสู่ความสงบได้ ความโกรธเคืองของชาวปารีสส่วนหนึ่งระเบิดออกมา และหลุยส์ที่ 16 ได้รับรายงานว่า นี่ไม่ใช่การก่อความไม่สงบ หากเป็นการปฏิวัติ

ในการศึก ข่าวลืออันเป็นเท็จจะเล่ากันต่อ ๆ กันไป มีข่าวลือสองเรื่องที่แพร่ไปเพื่อยังความเสื่อมเสียแก่ฝ่ายกษัตริย์ เรื่องแรกมีอยู่ว่า วันที่ 14 กรกฎาคม 1789 อันตรงกับการยึดป้อมลา บัสตีย์นั้น หลุยส์ที่ 16 เสด็จออกล่าสัตว์ แต่ล่าสัตว์ไม่ได้สักตัว จึงทรงเขียนลงในบันทึกส่วนตัวว่า “Rien” ซึ่งแปลความหมายได้สองทาง คือ ไม่มีอะไร หรือไม่ได้อะไร แต่ข่าวที่แพร่ออกไปยึดความหมายแรก คือหลุยส์ที่ 16 ไม่ให้ความสำคัญแก่การยึดป้อมลา บาสตีย์เลย

ข่าวลืออีกข่าวหนึ่งที่ทำให้ชาวปารีสผู้อดอยากโกรธเคืองมากคือข่าวที่ว่า พระราชินีมารี อังตัวแน็ต ตรัสขึ้นเมื่อมีคนทูลว่าชาวปารีสไม่มีขนมปังจะกิน แล้วพระองค์ตรัสตอบว่า “ให้พวกเขากินบรีอ๊อช (ขนมปังก้อนเล็ก ๆ ที่นุ่มเพราะใส่ไข่และใส่เนยมากหน่อย) ซิ” อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าวลีนี้มาจากบทละครที่เขียนโดย ฌัง-ฌักส์ รุสโซ ในปี ค.ศ. 1765 เมื่ออังตัวแน็ตมีอายุเพียง 9 ขวบ และเป็นข้อความที่แพร่ออกไปหลังจากที่มารี อังตัวแน็ตเสียชีวิตแล้ว

เหตุการณ์หลังการยึดป้อมลา บัสตีย์ ก็ถือได้ว่าสงบพอสมควร ที่ประชุมสภาฐานันดรสามารถออกประกาศที่มีความสำคัญมากในเวลาไม่นานต่อมา ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย นั่นคือ “คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง” ที่ประกาศเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1789 ต่อมาเมื่อครบรอบหนึ่งปีของการยึดป้อมลา บัสตีย์ ทุกฝ่ายร่วมกันเฉลิมฉลองการที่ตกลงกันว่าได้ว่า ฝรั่งเศสจะปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญในตอนนั้น ให้อำนาจกษัตริย์ในการวีโต้ร่างกฎหมาย หลุยส์ที่ 16 ใช้อำนาจวีโต้ร่างกฎหมายบ่อยครั้งจนได้รับฉายาว่า “นักวีโต้” เหตุการณ์อันน่าสลดที่เปลี่ยนทิศทางของการปฏิวัติคือ มีการชุมนุมสาธารณะเพื่อลงประชามติยกเลิกระบบกษัตริย์ สภาในขณะนั้นไม่เห็นด้วยจึงส่งตัวแทนและนายพลลา ฟาแย็ต (วีรบุรุษที่ฝรั่งเศสส่งไปช่วยในสงครามอิสรภาพของ 13 มลรัฐในอเมริกา) ไปบอกให้เลิกการลงประชามติ ปรากฏว่า ลา ฟาแย็ตสั่งห้ามยิงผู้ชุมนุม แต่ตัวแทนสภาเข้าควบคุมทหารและสั่งยิงผู้ชุมนุม ดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้ทำให้การประนีประนอมให้มีระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์ทรงเป็นประมุขยากเสียแล้ว

แต่โศกนาฏกรรมสุดท้ายคือการที่เคานต์ ดารบุส ซ่องสุมกำลังพลเพื่อล้มล้างการปฏิวัติ และหลุยส์ที่ 16 ได้หลบหนีจากปารีสเพื่อไปสมทบ แต่ถูกจับได้ที่เมืองวาแรน หลังการสอบสวนโดยสภาใหม่ (National Convention) ปรากฏหลักฐานลายมือของหลุยส์ที่ 16 ที่เขียนติดต่อกับดารบุส สภาจึงลงมติด้วยคะแนนเสียง 361 ต่อ 360 เสียงให้ลงโทษประหารชีวิต (ตัวเลขนี้น่าสงสัยอยู่บ้าง บางแหล่งข้อมูลให้ตัวเลขเป็น 387 ต่อ 334 เสียง แต่ดูเหมือนว่าตัวเลขนี้เปลี่ยนไปเมื่อฝ่ายที่พยายามช่วยหลุยส์ที่ 16 แย้งว่า บางคนไม่มีสิทธิแต่ออกเสียง และขอคืนสิทธิแก่ผู้ที่ไม่อยู่ในที่ประชุม) ฝ่ายที่คัดค้านญัตตินี้ให้เหตุผลว่า การประหารชีวิตเช่นนี้จะทำให้บรรดาราชอาณาจักรที่อยู่รายรอบ เปิดศึกสงครามกับฝรั่งเศสด้วยความกลัวว่า เชื้อการปฏิวัติจะกระจายออกไป แล้วก็เป็นเช่นนั้นคือเกิดสงครามขึ้น แต่ “มันอาจจะดี (ต่อการปฏิวัติ) ก็ได้” ฝ่ายปฏิวัติได้ออกกฎหมายเกณฑ์ทหารที่สร้างกองทัพขนาดมหึมา ที่มีกำลังมากกว่ากองทัพพันธมิตรที่เป็นอริมากนัก เช่นในปี ค.ศ. 1793 เกณฑ์ทหารได้ 450,000 คน ในปีถัดมาได้ 1,200,000 คน

การถูกคุกคามทำให้ฝ่ายปฏิวัติต้องมีกองทัพมหึมา แต่การคุกคามทำให้เกิดเลือดรักชาติ และฝ่ายปฏิวัติกลับได้รับเกียรติภูมิจากชัยชนะ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องหาเงินทองมาบำรุงกองทัพด้วย ฐานันดรที่มีทรัพย์สินมากที่สุดคือฐานันดรที่ 1 (พระ/นักบวช) การยึดทรัพย์สินบางส่วนของฝ่ายศาสนจักร ทำให้เกิดความขัดแย้งในอีกแนวรบหนึ่ง ชาวชนบทที่มีความศรัทธาสูงต่อศาสนจักรได้จัดกองกำลังเคลื่อนไหวต่อต้าน และถูกปราบปรามด้วยความรุนแรง ซึ่งเป็นอีกโศกนาฏกรรมหนึ่งของการปฏิวัติ แต่ความขัดแย้งกับศาสนจักร “มันอาจจะดี (บ้าง) ก็ได้” เพราะท้ายที่สุด ประเทศฝรั่งเศสประกาศตนว่าเป็น “รัฐฆราวาส” (secular state) ซึ่งทำได้สำเร็จด้วยการออกกฎหมายแยกรัฐและศาสนจักรออกจากกันในปี ค.ศ. 1905

แต่โศกนาฏกรรมที่ใหญ่หลวงอันเกิดแต่การปฏิวัติเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1794 ในปีนี้ มีการเข่นฆ่ากันเองครั้งใหญ่ของผู้นำปฏิวัติ อันที่จริงผู้นำการปฏิวัติก็ขัดแย้งกันเรื่อยมา โดยแบ่งเป็นกลุ่มหรือ “คลับ” ต่าง ๆ คลับที่สำคัญคือ กลุ่มจาโกแบ็ง นำโดยโรเบสปีแอร์ ผู้นิยมความรุนแรงและเป็นผู้นำในยุคแห่งความหวาดกลัว กลุ่มกอร์เดอลีเอ นำโดยดังต็อง ผู้มีความคิดต่อต้านกษัตริย์คล้ายกลุ่มจาโกแบ็ง แต่ไม่นำมวลชนก่อความรุนแรง กลุ่มชีรองแด็ง นำโดยบริสโซต์ ผู้มีแนวคิดสายกลางคือสถาปนาสาธารณรัฐแบบค่อยเป็นค่อยไป และกลุ่มเฟยยังต์ นำโดยมีราโบ ผู้มีแนวคิดนิยมกษัตริย์

แน่นอนว่าสองกลุ่มแรกร่วมมือกันกำจัดสองกลุ่มหลังไปก่อน เมื่อสำเร็จแล้ว กลุ่มจาโกแบ็งก็หันมากำจัดผู้นำกลุ่มกอร์เดอลีเอ จนประหารดังต็องได้สำเร็จ ผู้นำคนอื่น ๆ เมื่อเห็นความโหดร้ายของโรเบสปีแอร์ ก็ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง โดยกระซิบกระซาบกันว่า ถ้าไม่รีบกำจัดโรเบสปีแอร์ “คุณจะเป็นเหยื่อรายต่อไป” ความหวาดกลัวที่โรเบสปีแอร์ใช้เป็นอาวุธก็หันมาสู่เขา เพราะทุกคนที่หวาดกลัวได้ร่วมมือกันฆ่าเขาเสียเอง ไม่อยากบอกว่าการสร้างความหวาดกลัวอาจจะดีก็ได้ เนื่องจากสามารถกำจัดผู้สถาปนาความหวาดกลัวได้ด้วย ที่ไม่อยากบอกเพราะราคาที่ต้องจ่ายคือบาดแผลที่ลึกเหลือเกิน ผู้รับช่วงการนำได้กลับมาเป็นทางสายกลาง เช่นกลุ่มชีรองแด็งที่ถูกกวาดล้างไปไม่หมด เพราะฐานกำลังอยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณเมืองบอร์โดซ์

ขอกลับมาที่การเกณฑ์ทหารเพื่อสร้างกองทัพอันเกรียงไกรของฝ่ายปฏิวัติ โดยตั้งข้อสังเกตว่า “มันอาจจะไม่ดีก็ได้” เพราะเป็นการเล่นกับไฟ เมื่อฝ่ายปฏิวัติมีปัญหาต่อกัน คณะผู้นำส่วนหนึ่งก็หันไปหานายพลผู้เป็นผู้นำกองทัพ เขาเองเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายปฏิวัติในขณะนั้น และสมคบคิดกับคณะผู้นำส่วนหนึ่งทำการรัฐประหารตนเองในปี ค.ศ. 1799 ที่ถือเป็นจุดจบของการปฏิวัติ ต่อมานายพลคนนั้นได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1804 ซึ่งก็เป็นจุดจบของสาธารณรัฐที่ 1 ของฝรั่งเศส แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองได้ดำเนินต่อไป จนปัจจุบัน ฝรั่งเศสได้เปลี่ยนการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยในระบอบกึ่งประธานาธิบดี (หรือระบอบกึ่งรัฐสภาก็ว่าได้) โดยเป็นสาธารณรัฐที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 1958

ผมมีใจลำเอียง ผมเห็นว่าการปฏิวัติเพื่ออิสรภาพของสหรัฐอเมริกาที่สถาปนาประชาธิปไตยระบอบประธานาธิบดีก็ดี, การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ของอังกฤษที่สถาปนาประชาธิปไตยระบอบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขใต้รัฐธรรมนูญก็ดี, และการปฏิวัติฝรั่งเศสที่สุดท้ายแล้วได้สถาปนาประชาธิปไตยระบอบกึ่งประธานาธิบดีก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดีทั้งสามเรื่อง เพราะได้ปลูกฝังอุดมการณ์สิทธิมนุษยชน ภายใต้คำขวัญว่า “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” ด้วยกันทั้งสิ้น แม้การปฏิวัติทั้งสามมีเส้นทางที่ต่างกัน แต่ก็มีประชาธิปไตยเป็นเป้าหมาย จะอย่างไรก็แล้วแต่ คงมีผู้อ่านบางคนที่คิดว่า “มันอาจไม่ดีก็ได้” ส่วนผมยืนยันว่า แม้ระบอบประชาธิปไตยอาจไม่ดีที่สุด แต่มีข้อเสียน้อยกว่าระบอบอื่น ๆ ที่ทดลองใช้กันมายาวนานตลอดประวัติศาสตร์

โคทม อารียา

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : โคทม อารียา : ความไม่แน่นอนบนเส้นทางประชาธิปไตย

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก MATICHON ONLINE

ฝนตกถนนลื่น กระบะเสียหลักชนสนั่น 3 คันรวด เจ็บระนาว

34 นาทีที่แล้ว

ธิดารัตน์ ยันไม่กดดันแข้งชบาแก้วยู-16 แต่ย้ำเป้าหมายคือแชมป์อาเซียน

45 นาทีที่แล้ว

เจิดจรัสจักรวาล MUT 2025 โชนแสงรอบพรีลิมฯ ‘วีนา’ กวาด 3 รางวัล

46 นาทีที่แล้ว

ราศีใด ได้ลาภเป็นทรัพย์สินเงินทอง รายได้ไม่ขาดมือ ความรักมีเกณฑ์ใจร้อนโมโหง่าย

59 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

“เกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร” หัวใจสำคัญ หนุนเกษตรกรเลี้ยงหมู–วัตถุดิบในประเทศ สร้างความมั่นคงอาหาร

สยามรัฐ

อิสราเอลเตรียมเรียกทหารกองหนุนเพิ่ม “6หมื่น” ก่อนเริ่มปฎิบัติการเฟสยึด "กาซา ซิตี้" ส.ส MAGA คนดังเดือด “อเมริกาใจหิน” สั่งหยุดให้วีซ่าเด็กกาซาป่วยเข้ามาผ่าตัดในสหรัฐฯ

Manager Online

สาววัยเพียง 30 ดับปริศนาคารถยนต์ ขณะนั่งข้ามจังหวัด

Khaosod

KKP ชวนออกแบบชีวิต ด้วยการวางแผนทางการเงิน

ไทยพับลิก้า

ชัวร์ก่อนแชร์ : แม่ทัพและรองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับการโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศ จริงหรือ ?

ชัวร์ก่อนแชร์

ชัวร์ก่อนแชร์ : แม่ทัพและรองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับการโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศ จริงหรือ ?

สำนักข่าวไทย Online
วิดีโอ

พิสูจน์บทบาท "ทรัมป์" ช่วยยุติสงครามจริงหรือไม่?

Thai PBS

เหยียบระเบิดเอง? ทัพภาคที่2 แจง หลังชาวบ้านสุรินทร์แตกตื่นเสียงบึ้มดังสนั่น

เดลินิวส์

ข่าวและบทความยอดนิยม

โคทม อารียา : ความไม่แน่นอนบนเส้นทางประชาธิปไตย

MATICHON ONLINE

1พันมีทอน! AIS เปิดราคาแพ็คเกจดูศึกคนชนคน NFL สดเต็มอิ่มครบทุกคู่

MATICHON ONLINE

รั้วบ้านล้ำที่ดิน! พี่เขยทะเลาะน้องเมีย นัดดวลปืน ยิงกันเจ็บคู่

MATICHON ONLINE
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...