‘บ้านปู’ ครึ่งปีแรก 2568 น่าพอใจ กำไรหลัก ‘หมื่นล้าน’ ตั้งเป้าอีก 5 ปี ปรับลดสัดส่วนพลังงานดั้งเดิม ‘ถ่านหิน’
หลายประเทศทั่วโลกตั้งเป้าพยายามลดการพึ่งพาพลังงานดั้งเดิมที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น สหราชอาณาจักร, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย ฯลฯ โดย ‘ถ่านหิน’ เป็นหนึ่งในพลังงานดั้งเดิมที่เป็นเป้าหมาย รวมทั้งการลดคาร์บอนตามเป้าที่วางไว้ในปี 2030 ‘บ้านปู’ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน
‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ CEO บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยถึง กลยุทธ์Energy Symphonics คือการสร้างสมดุลให้กับธุรกิจพลังงานระหว่างความเป็นดั้งเดิม และกลุ่มพลังงานแบบใหม่ ซึ่งทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2024 จนถึงตอนนี้ว่า สร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้ดี โดยในครึ่งปีแรกของปี 2025 อยู่ในเกณฑ์ที่‘น่าพอใจ’
โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 2,521 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 84,543 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 571 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 19,144 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังขาดทุนสุทธิจำนวน 42.76 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือราว 1,428 ล้านบาท) เหตุผลหลักมาจาก ‘การแข็งค่าของเงินบาท’ เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ภาพรวมดังกล่าวไม่กระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทฯ
สิ่งที่มองว่า ธุรกิจเติบโตต่อเนื่องมาจากการเข้าลงทุนและขยายความคืบหน้ามาจากหลายโปรเจกต์ด้วยกัน แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้
บริษัทได้ขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติและเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (CCUS) ในสหรัฐอเมริกา
เป็นครั้งแรกที่บริษัทได้เข้าลงทุนในธุรกิจหมืองนิกเกิล (Nickel) ที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการลงทุนแร่พลังงานแห่งอนาคตของบ้านปูฯ
ขยับขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ในออสเตรเลียและญี่ปุ่น
นอกจากนี้ บริษัทได้เน้นไปที่การลดต้นทุนทั้งองค์กร ทำให้องค์กรมีความลีนขึ้นในแง่ของการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมถึงใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง และช่วยเข้ามาบริหารโครงสร้างเงินทุน (Rebalanced Capital Structure) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว
สินนท์ ได้กล่าวย้ำว่า “ภาพรวมของธุรกิจครึ่งปีแรกคิดว่า ค่อนข้างมั่นคง ราคาถ่านอาจจะลดลงเล็กน้อย ส่วนราคาแก๊สปีนี้ปรับขึ้นเล็กน้อย แต่รวมๆ ถือว่า perform ได้ค่อนข้างดีจะมีปัจจัยเสี่ยงเล็กน้อยของเรื่อง FX ค่าเงินที่หายไปถ้าเงินบาทแข็งค่า”
“ส่วนช่วงครึ่งปีหลังแน่นอนว่า มั่นคง ผลผลิตต่างๆ ที่บ้านปูได้ทำไว้จะออกดอกออกผล ราคาแก๊สดีขึ้นดีมานด์-ซัพพลายกำลังดี ส่วนถ่านหินเราไม่คิดว่าจะกลับไปเป็น V-shape แล้วแต่ราคาก็อยู่ที่ 110 เหรียญต่อตัน”
[ ถ่านหินเชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า บ้านปูฯ ต้องปรับลดการพึ่งพา ]
ที่ผ่านมาจะเห็นว่าพอร์ตธุรกิจบ้านปูฯ สัดส่วนแต่ละด้านจะปรับลดเปลี่ยนไป อย่าง ‘ถ่านหิน’ ก็ลดลงเรื่อยๆ แต่ก้ยังจะมีความหลากหลายที่ครบอยู่ ไม่ว่าจะเป็น แก๊ส ฟาร์มแบตเตอรี่ หรือ ถ่านหินก็ตาม
ซึ่งเป้าหมายธุรกิจที่ไม่ใช่ถ่านหินคิดว่าต้องปรับลดอีกเหลือต่ำกว่า 50% ภายในปี 2030 อาจจะอยู่ที่ประมาณ 40% ตามเป้าหมายของบ้านปูฯ
สำหรับ สินนท์มองว่า โลกยังมีความต้องการพลังงานทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงยังต้องค่อยเป็นค่อยไป เปลี่ยนเร็วเกินไปไม่ได้ เขาอยากจะเป็นผู้เล่นหลักในเรื่อง‘energy transition’ อย่างยั่งยืนให้ในหลายๆ ประเทศในอนาคต
ส่วนเรื่องของ ‘ปัจจัยเสี่ยง’ในมุมมองของ CEO บ้านปูฯ มองว่า ปัจจัยเสี่ยงมีหลายด้านร่วมกัน ทั้งเศรษฐกิจ, Geopolitics, AI เป็นความเสี่ยงได้ทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญก็คือ ต้องเก็บกระแสเงินสดให้ดี ไม่ว่าจะลงทุนอะไรจำเป็นต้องมี cash return ที่ดี
“จะเห็นว่า กลยุทธ์ Energy Symphonics เราจะเน้นเรื่อง (เงินสด) cash อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแก๊ส คือ ทุกธุรกิจที่เราลงทุนมันจะต้องมี return double digit ขึ้นไป”