ท่องเที่ยวเอเชียบูม แต่ไทยเสี่ยงตกขบวน ถ้าไม่เจาะตลาดท่องเที่ยวพรีเมียม

ท่องเที่ยวในเอเชียกำลังบูม ถ้าดูจากข้อมูลสถิติเมื่อปี 2009 นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในเอเชียมีเพียง 14 ล้านคน ก่อนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นยุคทองของหลายประเทศ ไทยเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

และเมื่อทุกประเทศมีโอกาสในการท่องเที่ยว ทำให้ในเอเชียเองก็มีการแข่งขัน แย่งชิงนักท่องเที่ยวกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะกับไม่กี่ปีมานี้ ที่หลังจากโควิด คนเริ่มออกเที่ยวแล้ว แต่ละประเทศงัดจุดเด่น เอกลักษณ์ วัฒนธรรมมาดึงดูดความน่าสนใจให้กับนักท่องเที่ยว

แต่ทว่าสำหรับประเทศไทย การฟื้นเรื่องท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เพราะตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 2019 ก่อนโควิดอยู่ที่ 39.8 ล้านคน จนตอนนี้ผ่านโควิดไปแล้ว ตัวเลขนักท่องเที่ยปี 2024 ก็ยังอยู่แค่ 35.4 ล้านคน พูดง่ายๆ ว่าตัวเลขยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่

มากไปกว่านั้นด้วยสถานการณ์ตอนนี้ไทยเรามีทั้งเรื่อง สงครามปะทะชายแดน, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, และแผ่นดินไหว ซึ่งทั้งหมดนี้ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย

คำถามคือ แล้วท่องเที่ยวประเทศไทยจะต้องปรับตัวไปทางไหนต่อ?

TODAY Bizview ได้พูดคุยกับ ‘เควิน เคลย์ตัน’ (Kevin Clayton) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายแบรนด์ กาแล็กซี รีสอร์ต มาสรุปมุมมองการท่องเที่ยวไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ

[ ท่องเที่ยวแบบหรูมาแรง คนยินดีที่จะจ่าย ]

‘เควิน’ เล่าให้ฟังว่า ตลาดการท่องเที่ยวไม่รวมการพนันในเอเชียแปซิฟิก จะมีมูลค่า 155 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ และจะเติบโตเป็น 298 พันล้านดอลลาร์ในปี 2035 และในปี 2024 6 ในสิบอันดับแรกของเมืองท่องเที่ยวระดับโลกตามที่ Mastercard บอกอยู่ในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ โตเกียว, โอซาก้า, เซี่ยงไฮ้, โซล, ปักกิ่ง และสิงคโปร์

หมายความว่าประเทศต้องทำการบ้านหนักเพื่อแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งการท่องเที่ยว ซึ่งหลายประเทศมักคิดว่าการท่องเที่ยวเป็นตลาดเดียว แต่จริงๆ แล้วมันเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศโดยรวม และระบบนิเวศนี้ประกอบด้วย ความหรูหรา, ความบันเทิง, ธุรกิจ, วัฒนธรรม, สุขภาพ, การแพทย์ และการผจญภัย

มีอินไซต์ที่น่าสนใจบอกว่า 72% ของกลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงกำลังวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายในการเดินทางที่เน้นความหรูหรา สะท้อนว่าความต้องการด้านการท่องเที่ยวได้เปลี่ยนไปสู่ภาคส่วนที่เน้นประสบการณ์ ซึ่งชนชั้นกลางค่อนข้างสูงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเพราะกำลังมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเอเชีย

[ จีนไม่มาไทย แต่เริ่มไปที่อื่นแล้วเปย์ฉ่ำแทน ]

ถ้ามาเจาะกันแค่จีนกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่หลายประเทศต้องการจะพบว่า ในจีนมีคนที่มั่งคั่งสูงหรือรวยๆ อยู่ราว 6.2 ล้านคน และชนชั้นกลางระดับสูง 168 ล้านคน และลูกค้ากลุ่มนี้กำลังมองหา ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร, บริการคุณภาพสูง, แผนการเดินทางที่ปรับแต่งได้ และความใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งใน 68% วางแผนที่จะไปเยือนจุดหมายปลายทางในเอเชีย ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, จีน, ออสเตรเลีย, และสิงคโปร์ โดยที่ไทยไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ อีกต่อไป

ทำไมไทยไม่ใช่ประเทศที่จีนอยากมาแล้ว?

81% ของนักท่องเที่ยวจีนในตอนนี้รู้สึกไม่ปลอดภัยหรือไม่มั่นใจในการเดินทางมายังประเทศไทย เพราะด้วย สงครามปะทะชายแดน, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, และแผ่นดินไหว

ในขณะที่เพื่อนบ้านเร่งสปีด นักท่องเที่ยวไทยกลับยังไม่กลับสู่ระดับเดิมสัญญาณชัดจาก ครึ่งแรกของปี 2025 ที่มีนักท่องเที่ยว 16.6 ล้านคน ลดลง 4.6% จากปีก่อน ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวจีนหดตัวแรงถึง 33% และปัญหาภาพลักษณ์ความปลอดภัย ก็ยิ่งซ้ำเติมรายได้การท่องเที่ยวจึงหดตัว 6.9% เหลือราว 768,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ไทยไม่ได้มีคู่แข่งแค่ประเทศในเอเชีย แต่ตะวันออกกลางอย่างดูไบและซาอุฯ ดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น (ดูไบอย่างเดียวเกิน 800,000 คน) และยังลงทุนสร้างรีสอร์ตครบวงจรระดับเวิลด์คลาส ที่ไม่เพียงมีโรงแรมหรู แต่ยังรวมศิลปะ การแพทย์ MICE ความบันเทิง และเกมไว้ในที่เดียว

สิงคโปร์ก็พิสูจน์แล้วว่าการมี Integrated Resort (IR) ที่แข็งแรง สามารถดึงนักท่องเที่ยวให้อยู่เพิ่มอีกหนึ่งคืน นั่นแปลว่าเม็ดเงินที่หมุนในประเทศก็เพิ่มขึ้นมหาศาล

‘เควิน’ จึงยกตัวอย่างเพิ่มว่า Galaxy Resorts Macau ที่เขาทำงานอยู่เป็นต้นแบบการท่องเที่ยว เพราะเป็นศูนย์รวมความบันเทิงชั้นนำของโลก ซึ่งมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจของมาเก๊าถึง 5.2 พันล้านดอลลาร์ จากการเข้าเยี่ยมชมสถานที่กว่า 22 ล้านครั้ง และ Galaxy Resorts Macau ได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวเอเชียว่าเป็น จุดหมายปลายทางที่ต้องไปเยือน

[ ไทยต้องแก้เกม อย่าเน้นแค่ตัวเลขนักท่องเที่ยว แค่เน้นคุณภาพของนักท่องเที่ยว ]

แล้วไทยต้องทำยังไง เพื่อแก้เกมการท่องเที่ยว?

“สำหรับประเทศไทยมีจุดแข็งด้านการต้อนรับ วัฒนธรรม อาหาร สุขภาพ และความสนุกแบบไทย แต่ปัญหาคือทรัพยากรคุณภาพเหล่านี้กระจัดกระจาย ไม่ได้ถูกผนึกกำลังเพื่อสร้างภาพรวมที่ดี ฉะนั้น หัวใจคือการรวมพลังของทุกภาคส่วน เพื่อสร้าง “Luxury Thailand” อย่างเป็นระบบ” เควินกล่าว

เช่น รีสอร์ตหรูในภูเก็ต โรงแรมและร้านอาหารระดับโลกในกรุงเทพฯ แพ็กเกจทัวร์และการช้อปปิ้งระดับพรีเมียม ล้วนต้องเชื่อมโยงกันภายใต้แผนเดียว พร้อมจัดปฏิทินอีเวนต์สำคัญ เส้นทางดิจิทัลที่สะดวก และมาตรการปราบกลโกงที่เข้มงวดในเมืองใหญ่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เดินทาง

ผู้ประกอบการต้องโฟกัสที่คุณค่าไม่ใช่แค่ “ปริมาณ” เพราะถ้ามาแบ่งนักท่องเที่ยวแบ่งเป็น 4 กลุ่มหลัก กลุ่มทัวร์, Mass FIT (อิสระจำนวนมาก), กลุ่มพรีเมียม และกลุ่มหรู โดยปริมาณอยู่ในสองกลุ่มแรก แต่มูลค่าและการใช้จ่ายสูงอยู่ในสองกลุ่มหลัง

และสิ่งที่ไทยควรทำประเทศไทยต้องมุ่งยกระดับคุณภาพประสบการณ์ให้ตรงใจนักท่องเที่ยวพรีเมียมและหรูหรา พร้อมผนวก 7 ภาคส่วนหลัก บันเทิง หรูหรา สุขภาพ การแพทย์ วัฒนธรรม ธุรกิจ ผจญภัย เพื่อสร้าง Thailand Tourism Map ที่ครบและแข็งแรง