แห่ทิ้ง ‘แม้ว’ หนุน ‘หนู’ ‘เพื่อไทย’ ตัน ไปต่อไม่ได้
การขู่ว่า จะใช้วิธี ‘ยุบสภา’ หากสุดท้าย พรรคประชาชน ไม่เลือกใคร ของ พรรคเพื่อไทย สะท้อนถึงสถานการณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี
และกำลังบ่งบอกว่า ผู้มีอำนาจตัวจริงของพรรคเพื่อไทยอย่าง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี คิดจะสู้แบบพังกันไปข้าง
เพราะวันนี้ยังเป็นข้อถกเถียงว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะ ‘ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ’ มีอำนาจกดปุ่มยุบสภาหรือไม่?
หากพรรคเพื่อไทยชิงยุบสภา ทั้งที่ข้อกฎหมายไม่ชัดเจน อาจจะเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เหมือนที่นักกฎหมาย นักวิชาการ ออกมาให้ความเห็นทางกฎหมายไว้
ถ้าพรรคเพื่อไทยรู้ทั้งรู้ว่าเป็นแบบนั้น แต่ยังเลือกจะเดินแบบนั้น นั่นหมายความว่า นาทีนี้ ‘เลือดเข้าตา’ โดยไม่ได้มองว่า เหมาะหรือไม่เหมาะ ควรหรือไม่ควร จ้องจะเอาชนะคะคานกันทางการเมืองเท่านั้น
และมันจะสอดคล้องกับกระแสข่าวลือที่ว่า พรรคเพื่อไทยจะยอมทำทุกทาง เพื่อไม่ให้คนชื่อ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้เป็นนายกฯ
ซึ่งการที่พรรคเพื่อไทยเลือดเข้าตา ย่อมหมายความว่า พวกเขา ‘เข้าตาจน’ แล้ว
การที่พรรคเพื่อไทยมาถึงจุดนี้ได้ ปัจจัยแรกเลยคือ การสูญเสียคีย์แมนคนสำคัญอย่าง ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ สส.พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม
รวมไปถึง สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ในเครือข่ายของ‘บิ๊กธุรกิจพลังงาน’ นำโดย ‘เสี่ยเฮ้ง’ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์
การสูญเสีย 2 กลุ่มก้อนการเมืองใหญ่ในสถานการณ์ที่รัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ทำให้สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต สำหรับการจะหาเสียงสนับสนุนที่ต้องออกแรงเพิ่มเป็นหลายเท่า
เสียงของพรรคกล้าธรรมหายไปราวๆ 26 เสียงเป็นอย่างน้อย เช่นเดียวกับกลุ่ม สส.รวมไทยสร้างชาติในซีก ‘บิ๊กธุรกิจพลังงาน’ อีกราวๆ 16 เสียง
ไม่เพียงเท่านั้น การสูญเสีย ‘ธรรมนัส’ และ ‘บิ๊กธุรกิจพลังงาน’ ที่ยืนเคียงข้าง ‘ทักษิณ’ มาตลอด ยังทำให้เกิด ‘อุปาทานหมู่’ ในพรรคเพื่อไทย เกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุด สส.หลายคนตีตัวออกห่าง และหันไปเปิดตัวกับค่ายสีน้ำเงินต่อเนื่อง
พรรคเพื่อไทยเหลือทางเลือกเดียวที่จะพลิกเกมกลับมาคือ ไปหาเสียงจากฝ่ายค้าน โดยเฉพาะกับพรรคประชาชน ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐชัดเจนว่า สนับสนุนนายอนุทิน
อย่างไรก็ตาม มีการมองกันว่า เหตุใดขุนพลที่ช่วย‘ทักษิณ’ มาตลอด ยอมหักกับเจ้านายเก่า ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และเคยปะทะกับพรรคภูมิใจไทยอยู่ช่วงหนึ่ง อย่าง ‘ธรรมนัส’ ถึงกล้าทิ้ง ‘ทักษิณ’ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
หรือแม้แต่ ‘บิ๊กธุรกิจพลังงาน’ ที่ปรากฏตัวอยู่กับ ‘ทักษิณ’ บ่อยๆ ถึงวิ่งไปหานายอนุทินในลำดับแรกๆ แทนที่จะหยั่งเชิง รอดูทิศทางลมก่อน
หากก่อนหน้านี้ ‘ธรรมนัส’ กระทบกระทั่ง หรือมีเรื่องไม่พอใจ ‘ทักษิณ’ การพลิกขั้วอาจพอเข้าใจได้ แต่นี่ไม่มีปัญหาใดๆ กัน
ขณะเดียวกัน ‘ธรรมนัส’ ย่อมไม่ไปตายดาบหน้า โดยที่ไม่รู้ก่อนว่า ‘อนุทิน’ จะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้แน่
‘ธรรมนัส’ ต้องแน่ใจแล้วว่า พรรคเพื่อไทยไปต่อไม่ได้แล้ว ทั้งการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาติดลบ แก้ไขเศรษฐกิจไม่ได้ ไม่สามารถผลักดันนโยบายเองได้ หากอุ้มกันต่อมีแต่พากันพัง
และการเข็น ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ ต่อ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่กำลังฝืนธรรมชาติ
โดยเฉพาะ สส.อีสานใต้ อย่าง นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ก็โดดหนีทันที โดยระบุว่า ตนเลือกที่จะใช้เอกสิทธิ์ สส.ไม่โหวตให้ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ ด้วยเหตุผลจากนโยบายที่แถลงไว้ไม่สามารถปฏิบัติได้ และความล้มเหลวในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
"ผมและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยควรต้องมีส่วนแสดงความรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชน และควรเสียสละไม่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่เป็นนายกฯ" นพ.ภูมินทร์ ระบุ
เช่นเดียวกัน นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ที่ร่วมแถลงข่าวกับนายอนุทินด้วย โดยบอกว่า มีเพื่อน สส.พท.อีกประมาณ 10 คน พร้อมสนับสนุนนายอนุทิน
‘ทักษิณ’ ไม่ได้ขลัง แต่กำลังดันทุรังเพียงเพื่อเอาชนะ แก้แค้น มากกว่ามองยุทธศาสตร์ครั้งหน้า
การที่นายกฯ คนที่ 2 ของพรรคเพื่อไทย ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้หลุดจากตำแหน่ง โดยเฉพาะคนล่าสุดที่เป็นลูกสาวในไส้ตัวเอง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ‘ทักษิณ’ ไม่ได้มีพาวเวอร์มากพออีกแล้ว
มันยากหากยังเลือกอุ้มแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ ‘ชัยเกษม’ ที่ไม่มีทางจะกอบกู้เรตติ้งของรัฐบาลกลับมาได้
พรรคเพื่อไทยไปต่อทางการเมืองไม่ได้อีกแล้ว
เหตุเหล่านี้หรือไม่ ทำให้ ‘ธรรมนัส’ ยอมหัก ‘ทักษิณ’ ชนิดที่ว่า ทิ้งไว้กลางทางแบบไม่ทันรู้ตัว
แต่อีกทางหนึ่ง มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า เขาได้รับ ‘สัญญาณพิเศษ’ บางอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะต้องยอมหักกับ ‘ทักษิณ’ ก็ตาม
และการตัดสินใจสนับสนุน ‘อนุทิน’ มันเกิดขึ้นก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยในคดี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ด้วยซ้ำ
นาทีนี้ ‘เพื่อไทย’ และ ‘ทักษิณ’ ไร้แต้มต่อทางการเมือง อาวุธในมือเสียเปรียบฝ่ายตรงข้าม การจะเดินหน้าบวกเพื่อเอาชนะ สุดท้ายอาจเป็นตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส
อย่าลืมว่า ‘ทักษิณ’ ยังมีเรื่องคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ที่ศาลฎีกานัดชี้ชะตาในวันที่ 9 กันยายนนี้อีก
แนวโน้มหากเป็นผลลบกับ ทักษิณ ยิ่งทำให้ทางเดินของ ทักษิณ-เพื่อไทย ตีบตันลง!.