วันแม่ปี 68 เงินสะพัด 1.1 หมื่นล้าน “เงินสด” เป็นของขวัญยอดนิยม
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงวันแม่แห่งชาติ ปี 2568 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,422 รายทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่อง 4 วัน โดยพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับวันแม่ เนื่องจากตระหนักถึงบทบาทสำคัญของ “แม่” ในการเป็นศูนย์กลางของความรักและความสัมพันธ์ในครอบครัว
โดยผลสำรวจระบุว่า ร้อยละ 58.1 ของผู้ตอบแบบสอบถามมีแผนเดินทางไปพบแม่ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่อีกร้อยละ 41.9 ระบุว่าไม่ได้เดินทางไปพบ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี
ด้านของของขวัญที่นิยมมอบให้แม่ พบว่า “เงินสด” ยังครองความนิยมสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67 โดยมีมูลค่าเฉลี่ย 3,115 บาท ตามมาด้วยพวงมาลัย ดอกไม้ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ
5 อันดับแผนการใช้จ่ายช่วงเทศกาลวันแม่
กิจกรรมที่ประชาชนส่วนใหญ่วางแผนทำร่วมกับแม่ในช่วงวันแม่ ได้แก่
- การพาไปรับประทานอาหารนอกบ้าน งบประมาณเฉลี่ย 2,230.46 บาท
- การทำบุญ งบประมาณเฉลี่ย 1,535.51 บาท
- การจัดกิจกรรมนอกบ้านร่วมกัน งบประมาณเฉลี่ย 1,409.14 บาท
- ไม่ได้ไปไหนอยู่บ้าน งบประมาณเฉลี่ย 314.30 บาท
- ออกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ งบประมาณเฉลี่ย 3,321.43 บาท
อีกทั้งยังมีแผนการเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัด ทั้งแบบค้างคืนและไม่ค้างคืน โดยส่วนใหญ่ระบุว่า งบประมาณที่ใช้จ่ายจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยขณะที่ การเดินทางไปต่างประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 12,000 บาท ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 15,000 บาท หรือคิดเป็นการลดลงประมาณร้อยละ 20
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในช่วงวันแม่ปี 2568 จะมีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจประมาณ 11,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีวันหยุดยาวติดต่อกันและมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคอย่าง “โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง” แต่ประชาชนยังคงใช้จ่ายด้วยความระมัดระวัง โดยมีหลายครอบครัวที่ไม่มีแผนจัดกิจกรรมร่วมกับแม่ และบางกิจกรรมมีระดับการใช้จ่ายที่ลดลงจากปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ บรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาท รวมถึงมาตรการทางการเงินและการท่องเที่ยว เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย จะเริ่มมีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม แต่ยังไม่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างชัดเจน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากหลายปัจจัย ทั้งสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า และปัญหาในการบริหารจัดการการค้าชายแดน ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด