คาราบาวกรุ๊ป ฝ่าปัจจัยลบ โกยรายได้ไตรมาส 2 ปี 68 ทะลุ 5.5 พันล้านบาท
บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สร้างผลงานที่โดดเด่นในไตรมาส 2/2568 โดยสามารถทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 15 ไตรมาส ด้วยรายได้รวม 5,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 800 ล้านบาท เติบโต 16% สวนกระแสปัจจัยลบจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
นายร่มธรรม เสถียรธรรมะ กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจหลัก โดยเฉพาะ เครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดง ในประเทศที่มียอดขายพุ่งขึ้นถึง 27% และส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 26.7% ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การตรึงราคาขายปลีกที่ 10 บาท ควบคู่ไปกับการขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น
นอกจากนี้ รายได้ที่น่าสนใจอีกส่วนหนึ่งมาจากการ รับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 22% คิดเป็นมูลค่า 2,104 ล้านบาท โดยมีสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหัวหอกสำคัญ โดยเฉพาะ เบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดง ที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันคาราบาวสร้างยอดขายในประเทศสัดส่วน 56%และต่างประเทศสัดส่วน 44% ทั้งนี้ ตลาดต่างประเทศสร้างยอดขาย 1,404 ล้านบาท “ลดลง 4%” จากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะได้รับผลกระทบของการจำกัดการผ่านแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างกะทันหัน บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางและ วิธีการขนส่งสินค้าไปทางเรือแทน ซึ่งใช้ระยะเวลาในการขนส่งนานกว่าทางบก ส่งผลให้การขนส่งสินค้าในประเทศกัมพูชาช่วงแรกมีความล่าช้าเกินกว่ากำหนด
แม้ว่ายอดขายในตลาดต่างประเทศจะลดลง 4% จากผลกระทบของการจำกัดการผ่านแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา แต่คาราบาวกรุ๊ปก็เดินหน้าแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว โดยเร่งตั้งโรงงานในกัมพูชา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 เพื่อแก้ไขปัญหาการนำเข้าในระยะยาว ขณะที่การส่งออกไปยังเมียนมาและเวียดนามยังคงเติบโตได้ดี โดยเฉพาะที่เวียดนามที่มียอดขายโตถึง 38% จากการร่วมมือกับคู่ค้ารายใหม่
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ดำเนินการจัดตั้งโรงงานในประเทศกัมพูชา โดยจะดำเนินการให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดการเดิม และคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่แน่นอนในการนำเข้าสินค้าในระยะยาว
ส่วนรายได้จากการส่งออกไปยังเมียนมายังคงเติบโตได้ดีจากปัจจัยด้านฤดูกาลและสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดี โดยโรงงานผลิตสินค้าที่ประเทศเมียนมา จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปี 2568 เพื่อแก้ไข ปัญหาความไม่แน่นอนในการนำเข้าสินค้า โดยบริษัทฯจะได้ประโยชน์ส่วนเพิ่มจากการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และเพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเมียนมา รวมถึงรายได้จากการส่งออกไปยังเวียดนามที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง 38% และเติบโตเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังจากการร่วมมือกับคู่ค้ารายใหม่ที่มีความสามารถในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมในพื้นที่และเข้าใจตลาด บริษัทฯ คาดว่าประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีโอกาสสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้านกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น 16% สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายทางการเงินได้ดีขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกก็ตาม