รพ.ลาดบัวหลวง ชูโมเดล "IoT" ช่วยผู้ป่วยเบาหวาน "หยุดยาสำเร็จ"
12 สิงหาคม 2568 นพ.ณรงค์ ถวิลวิสาร รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย พญ.วรางคณา ทองเปรม รักษาการ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลาดบัวหลวง ได้นำคณะจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เยี่ยมชมตัวอย่างการนำเครื่องมือ IoT (Internet of Things) มาใช้ในการควบคุมโรคเบาหวานแก่ผู้ป่วยซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านสุขภาพที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสิงหนาท (รพ.สต.สิงหนาท) ต.สิงหนาท อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้ การนำเครื่องมือ IoT มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานของที่นี่นั้นเริ่มต้นโดยโรงพยาบาลลาดบัวหลวงที่พัฒนาระบบติดตามสถานะของผู้ป่วยด้วยการใช้เทคโนโลยี IoT ในการตรวจวัด ทำให้ผู้ป่วยและแพทย์ได้ทราบข้อมูลภาวะเบาหวานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ มีทั้งแถบทดสอบระดับน้ำตาลในเลือด เครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องวัดอุณหภูมิ และเครื่องชั่งน้ำหนัก เป็นต้น
ผู้ป่วยและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ตรวจวัดค่าต่างๆ ทุกเดือน ข้อมูลค่าที่วัดได้จะถูกส่งเข้าสู่ระบบของโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ใช้ในการประมวลผลและส่งกลับไปยัง รพ.สต. และผู้ป่วยเพื่อให้ทราบสถานะโรค ความเสี่ยงเพื่อนำไปสู่การปรับพฤติกรรม ซึ่งในกรณีที่ข้อมูลสุขภาพผิดปกติ ระบบจะแจ้งเตือนแพทย์เพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วน โดยในอนาคตทางโรงพยาบาลมีการวางแผนเพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์โรคเพื่อกำหนดนโยบายต่อไป
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า โครงการควบคุมโรคเบาหวานด้วยอุปกรณ์ IoT เริ่มขึ้นในปี 2565 เพื่อมุ่งแก้ปัญหาการติดตามผู้ป่วยที่มักมีข้อจำกัด ซึ่งเดิมทีแพทย์จะนัดพบผู้ป่วยที่มีระยะห่าง 3-4 เดือน ระหว่างนั้นคุณหมอจะไม่ทราบอาการของผู้ป่วยได้ แต่ด้วยระบบ IoT ซึ่งผู้ป่วยสามารถตรวจวัดค่าต่างๆ ได้เอง รวมถึง อสม. ทำการตรวจ ข้อมูลจากการตรวจผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระบบ IoT จะถูกส่งต่อเข้าระบบของโรงพยาบาลทันที ทำให้คุณหมอทราบข้อมูลผู้ป่วยและปรับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงที่เดินทางลำบาก โดยคุณหมอสามารถติดตามอาการหรือปรับยาได้โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล ซึ่งในกรณีที่ต้องรับยาก็ให้ลูกหลานมารับยาได้ หรือโรงพยาบาลจัดส่งยาไปให้ที่บ้านผู้ป่วยได้
"ที่สำคัญคือคนที่ยังไม่ป่วย หากมีข้อมูลสุขภาพที่มากเพียงพอ ติดตามค่าต่างๆ ก็ทำให้เกิดความตระหนักในการปรับพฤติกรรม เพื่อลดความเสี่ยงของตัวเองจากโรคได้" รอง สสจ. พระนครศรีอยุธยา กล่าว
พญ.วรางคณา กล่าวว่า ระบบ IoT ได้เปลี่ยนวิธีการดูแลผู้ป่วยเชิงรับ เป็น เชิงรุก ที่สำคัญคือทำให้ผู้ป่วยได้เป็นเจ้าของสุขภาพของตัวเอง โดยใช้อุปกรณ์ IoT ดูแลสุขภาพและได้รับข้อมูลประมวลผลว่าสถานะสุขภาพของตนเองเป็นอย่างไร และควรทำอย่างไรต่อไป ขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลและเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที หากเกิดความผิดปกติหรือภาวะวิกฤต ซึ่งนวัตกรรมนี้เป็นการเปลี่ยนบทบาท วิธีคิด และแนวคิดในการดูแลผู้ป่วย และจะเป็นอนาคตของการดูแลผู้ป่วยต่อไป
นายประยุทธ ไตรสารศรี ผู้อำนวยการ รพ.สต.สิงหนาท กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการแล้ว 18 คน ซึ่งผู้ป่วยจะทำการตรวจวัดค่าต่าง ๆ ด้วยตนเอง (Self-monitoring) ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มีการประมวลผลและให้คำแนะนำในการปรับพฤติกรรม เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์, ลดของทอด ของหวาน ของเค็ม, ลดปริมาณแป้ง, ปรับเวลาการรับประทาน, งดทานของจุกจิก และทำ IF (Intermittent Fasting) 16 ชั่วโมง
รวมถึงการออกกำลังกาย ซึ่งจากผลการติดตามสุขภาพและการปรับพฤติกรรม พบว่าผู้ป่วย 10 คน หรือร้อยละ56 สามารถหยุดยาได้ และอีก 4 คน หรือร้อยละ 22 สามารถลดการใช้ยาลงได้ ส่วนผู้ป่วยที่เหลืออีก 4 คน ยังคงใช้ยาในปริมาณเท่าเดิม
ด้าน ทพ.อรรถพร กล่าวภายหลังการเยี่ยมชมว่า ตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนโยบายของ สปสช. ได้ให้ความสำคัญกับการควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม และนำไปสู่โรคไตได้ หากไม่ควบคุม ซึ่ง สปสช. อยู่ระหว่างการเฟ้นหาพื้นที่ที่มีนวัตกรรมการจัดการควบคุมโรคเรื้อรังได้เป็นอย่างดี เพื่อขยายสู่ระดับประเทศ ซึ่งโรงพยาบาลลาดบัวหลวงและ รพ.สต.สิงหนาท ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีความโดดเด่นในการนำอุปกรณ์ IoT เข้ามาใช้ในการติดตามข้อมูลสุขภาพ ทำให้ผู้ป่วยเห็นว่าค่าตัวเลขสุขภาพของตัวเอง เพื่อช่วยในการดูแลตัวเองได้ดีขึ้น
"จากที่เยี่ยมชมและรับทราบข้อมูลในครั้งนี้ ขอชื่นชมการนำนวัตกรรม IoT มาใช้ และวิธีการนี้สามารถขยายไปยังทุกๆ พื้นที่ จากผลที่ รพ.ลาดบัวหลวงทำได้ผลลัพธ์ที่ดี และประชาชนได้รับการดูแลที่ดีขึ้น ซึ่ง สปสช. จะมีทีมงานเข้ามาทำงานร่วมกับในพื้นที่เพื่อให้การสนับสนุนในเชิงลึกให้มากขึ้นด้วย" รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว