จากการจูงใจให้มีลูกไม่เกินหนึ่งคน ถึงการจ่ายให้มีลูก | บ้านเขาเมืองเรา
ปัจจัยที่ทำให้จีนใช้นโยบายต่างกันแบบหน้ามือกับหลังมือเช่นนี้มีหลายอย่างด้วยกัน
การพิมพ์หนังสือชื่อ “ระเบิดประชากร” (The Population Bomb) ของ ศ.พอล เออร์ลิช เมื่อปี 2511 เกี่ยวกับผลเสียหายร้ายแรงของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกรวมทั้งต่อสังคมและระบบนิเวศ ปลุกให้ชาวโลกรวมทั้งชาวจีนตระหนักกันอย่างกว้างขวาง
ในปีนั้นโลกมีประชากรราว 3.5 พันล้านคน หลังจากเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 2% มาเป็นเวลากว่าทศวรรษ ส่วนจีนมีประชากรเกือบ 800 ล้านคนซึ่งมากที่สุดในโลกและเพิ่มขึ้นปีละกว่า 2.5%
ในช่วงนั้น ชาวจีนส่วนใหญ่ตกอยู่ในภาวะยากจน รัฐบาลจีนจึงมองว่าถ้าประชากรของตนยังเพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างไม่หยุดยั้ง โอกาสที่จะสนับสนุนให้ชาวจีนส่วนใหญ่ก้าวพ้นความยากจนแทบไม่มี
รัฐบาลจึงใช้วิธีสร้างแรงจูงใจให้ชาวจีนเกิดน้อยลง โดยในบางกรณีมีบทลงโทษครอบครัวที่มีลูกเกิน 1 คน
นโยบายนี้ก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น การทำแท้งอย่างแพร่หลายเมื่อรู้ว่าทารกในครรภ์เป็นหญิงและการทอดทิ้งทารกหญิงแบบโหดร้ายถึงขั้นทำให้เสียชีวิต และความไม่สมดุลสูงระหว่าง 2 เพศจนหนุ่มจีนหาคู่ได้ยาก
นโยบายนั้นทำให้อัตราการเกิดของชาวจีนลดลงจริงหรือไม่ เป็นที่ถกเถียงกันมาก เนื่องจากการลดลงนั้นอาจเป็นไปตามแนวโน้มของอัตราการเกิดโดยทั่วไปในประเทศส่วนใหญ่ก็ได้
ปัจจัยที่ทำให้อัตราการเกิดลดลงมัก ได้แก่ การเลี้ยงลูกมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ความยากลำบากของการขาดความสมดุลระหว่างการทำงานนอกบ้านและการเลี้ยงดูลูก และค่านิยมที่เปลี่ยนไปในสังคมโลก
อัตราการเกิดที่ลดลงส่งผลให้เกิดภาวะสังคมมีประชาชนวัยชราในสัดส่วนที่สูงขึ้นและมีคนในวัยทำงานน้อยลง ส่งผลให้ขาดแรงงานที่จะสนับสนุนคนชราและทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไป
หลังจากปี 2558 จีนเปลี่ยนนโยบายและสนับสนุนให้แต่ละครอบครัวมีลูก 2 คน ตามด้วยนโยบายจูงใจให้มี 3 คนในปี 2564 และล่าสุดรัฐบาลเพิ่งประกาศว่าจะจ่ายให้ชาวจีน 3,600 หยวนต่อปีสำหรับการมีลูกแต่ละคน นโยบายนี้จะมีผลย้อนหลังไปถึงต้นปีสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ
จีนสนับสนุนให้อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นทั้งที่ยังไม่ประสบภาวะประชากรคงที่ หรือลดลงเช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรปและญี่ปุ่น
ในจำนวนนี้ มีหลายประเทศที่สนับสนุนให้ประชาชนมีลูกมากขึ้นโดยการใช้มาตรการต่าง ๆ รวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ รัสเซีย ฮังการี เยอรมนี ฝรั่งเศสและสวีเดน
ประเทศเหล่านี้มีระดับการพัฒนาสูงแล้ว ต่างกับประเทศกำลังพัฒนาที่ยังมีอัตราประชากรเพิ่มขึ้นต่อปีสูงอย่างต่อเนื่อง นำโดยประเทศซูดานใต้ (4.7%) ตามด้วยไนเจอร์ (3.7%) และแองโกลา (3.3%)
อัตราการเกิดสูงเช่นนี้มีผลทำให้ประชากรโลกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันอัตราอยู่ที่ 1% ต่อปี ยังผลให้โลกมีประชากรกว่า 8.2 พันล้านคนโดยอินเดียมีประชากรมากที่สุด (กว่า 1.428 พันล้านคน) ตามด้วยจีน (กว่า 1.425 พันล้านคน)
ด้วยเหตุดังกล่าว หนึ่งในประเด็นหลักของหนังสือเรื่องระเบิดประชากรจึงยังคงเดิม กล่าวคือ ความไม่สมดุลระหว่างจำนวนคนและทรัพยากรของโลกที่สูงขึ้นส่งผลให้เกิดสงครามชิงทรัพยากรและการทำลายระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง
ในภาวะเช่นนี้ แทนที่จะวิตกเรื่องการเป็นสังคมคนชราที่ขาดแรงงานสนับสนุน และแก้ด้วยการใช้มาตรการกระตุ้นให้ประชาชนมีลูกมากขึ้น
ประเทศเหล่านั้นอาจใช้วิธีเปิดประเทศรับประชากรของประเทศกำลังพัฒนาที่มีประชากรเพิ่มขึ้นในอัตราสูง
นโยบายในแนวนี้จะเอื้อให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถลดภาวะความความยากจนของประชาชนลงได้ง่ายขึ้นด้วย แต่โอกาสที่นโยบายในแนวนี้จะเกิดขึ้นมีน้อยมาก เนื่องจากความแตกต่างระหว่างผิวพรรณและวัฒนธรรม
นโยบายขับไล่ชาวต่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นตัวอย่างสด ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน ความไม่สมดุลระหว่างประชากรกับทรัพยากรจึงจะดำเนินต่อไปส่งผลให้สงครามและการทำลายระบบนิเวศยุติได้ยาก.