โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

ผลักดัน ‘สิทธิลาคลอด’ เป็น 180 วัน แก้วิกฤตเด็กเกิดน้อย

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ในวาระวันแม่แห่งชาติ อยากเชิญชวนสังคมไทยให้ความสำคัญกับว่าที่คุณแม่ หรือผู้หญิงวัยทำงานที่กำลังวางแผนจะเป็นแม่ และผู้ที่กำลังชั่งใจว่าจะมีบุตรดีหรือไม่ด้วย

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเป็นสังคมสูงวัยและเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดต่ำ หรือเด็กเกิดน้อย ส่วนตัวเชื่อว่าการเพิ่มสิทธิและสวัสดิการทางสังคมบางประการจะช่วยให้ว่าที่คุณแม่เบาใจลง มีความมั่นใจ และตัดสินใจมีบุตรได้มากขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เรื่องใหม่ คุณแม่ต้องรู้ เพิ่มวันลาคลอด- ปรับเกณฑ์น้ำหนัก

คนทำงานบ้านเฮ!! กฎกระทรวงแรงงาน ได้สิทธิลาคลอด 98 วัน มีผลบังคับใช้แล้ว

ผู้ประกันตนใช้สิทธิลาคลอดลดลง 26%

ผศ.ดร.กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ …) พ.ศ. กล่าวว่าปี 2555 มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ใช้สิทธิคลอดบุตรมากกว่า 3 แสนครั้ง แต่ปี 2567 กลับเหลือเพียง 2.2 แสนครั้ง หรือลดลงราว 26% ตัวเลขนี้สะท้อนว่าอัตราการเกิดของเด็กลดลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราวัยแรงงานน้อยลงตาม ดังนั้นสังคมควรจะหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาสวัสดิการสังคมเพื่อเอื้อให้คนรู้สึกเบาใจในการมีลูกมากขึ้น

ผศ. ดร.กฤษฎา กล่าวต่อว่า สิทธิและสวัสดิการสังคมที่ควรสนับสนุนและผลักดันให้เกิดขึ้นในประเทศไทย คือการลาคลอด 180 วัน ซึ่งปัจจุบันกฎหมายให้ลาได้ 98 วันและปัจจุบันสภาอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับแก้กฎหมายเพื่อขยับขึ้นมาเป็น 120 วัน แต่ก็ยังไม่ถึง 180 วัน ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำและกำหนดมาตรฐานเวลาที่พ่อแม่ควรมีหรือแบ่งมาดูแลลูก ซึ่งอยู่ที่ 180 วัน

ดันสิทธิลาคลอด เป็น 180 วัน ช่วยว่าที่คุณแม่

ผศ. ดร.กฤษฎา กล่าวต่อไปว่าสภาผู้แทนราษฎร ได้ผ่าน (ร่าง) แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งมีสาระสำคัญคือให้ลาคลอดได้ 120 วันแล้ว โดยเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2568 ที่ประชุมวุฒิสภาได้มีมติรับร่างกฎหมายไว้พิจารณาและมีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ( ฉบับที่…) พ.ศ… จํานวน 27 คน และเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 มีการประชุมไปแล้ว 1 ครั้ง จึงอยากเชิญชวนให้สังคมช่วยกันจับตาและเอาใจช่วยให้วุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบก่อนจะนำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าเพื่อลงพระปรมาภิไธยเเละประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งกระบวนการต่างๆ ควรจะดำเนินการไปตามขั้นตอนดังกล่าว หากไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจนทำให้มีการยุบสภาไปเสียก่อน

"การลาคลอด 180 วัน เป็นสิ่งที่ภาคประชาสังคมพยายามผลักดันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 แต่ในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ สภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติออกมาเป็น 120 วัน ดังนั้น เป้าหมายเบื้องต้นของเครือข่ายผู้ผลักดันสิทธิและสวัสดิการดังกล่าวยังยืนยันตามนี้ แต่นั่นคงไม่ใช่เป้าหมายปลายทางที่ภาคประชาสังคมต้องการ"

ทั้งนี้ สิทธิการลาคลอดเป็นเพียงมิติหนึ่งในการสร้างสวัสดิการทางสังคมเพื่อทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอุ่นใจ มั่นคงสำหรับการสร้างครอบครัว แต่การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น

ผศ. ดร.กฤษฎา กล่าวอีกว่าภาครัฐควรทำหน้าที่ในการส่งเสริมอย่างรอบด้าน เชื่อมโยงให้กลายเป็นชุดนโยบายการดูแลอย่างครบวงจร ทั้งด้านการบริการ เช่น การบริการสุขภาพแม่และเด็ก บริการดูแลเด็กในบ้าน ชุมชน และศูนย์เด็กเล็ก สิ่งอำนวยความสะดวกในการให้นมลูก ด้านสิทธิ เช่น การได้รับความคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติความรุนแรงและการคุ้มครองการจ้างงาน รวมไปถึงสิทธิการมีชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ยังมีชุดนโยบายด้านเวลา เช่น การลาเพื่อดูแลครอบครัว เวลาพักสำหรับให้นมลูก และนโยบายส่งเสริมความมั่นคงทางรายได้ เช่น เงินสนับสนุนสำหรับลาคลอด การลาให้นมลูก และลาเพื่อดูแลครอบครัวระยะยาว

ผศ. ดร.กฤษฎา กล่าวด้วยว่าสังคมควรจะดูแลสวัสดิการให้รอบด้าน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องแบกรับบทบาทในการเป็นแม่และต้องสูญเสียโอกาสบางอย่างในชีวิตไป รูปธรรมที่ชัดเจน เช่น การคำนวนเงินบำนาญของประกันสังคม หากผู้หญิงต้องลาออกจากที่ทำงานเพื่อมาทำหน้าที่ในการดูแลลูกเป็นช่วงๆ บางคนลาออกมาตั้งแต่ตั้งครรภ์ เมื่อคลอดออกมาก็ทำหน้าที่ดูแลให้นมลูกแล้วกลับไปทำงานต่อ ก็ทำให้ขาดการส่งเงินสมทบประกันสังคมไป

เพียงแค่การลาออกเท่านี้ ก็สามารถกระทบกับสิทธิตัวเองในช่วงหลังเกษียณแล้ว ยังไม่รวมมิติอื่นๆ ที่เอื้ออำนวย เช่น สวัสดิการห้องให้นมลูกในที่ทำงาน ระยะเวลาพักสำหรับการให้นมลูก หรือสถานที่ดูแลเด็กในที่ทำงาน สิ่งเหล่านี้ เราต้องร่วมกันออกแบบเพื่อทำให้คุณแม่ได้ทำหน้าที่แม่ได้อย่างสมบูรณ์

ทำไม?ต้องแก้สิทธิลาคลอดจาก 120 วันเป็น 180 วัน

การแก้ไขกฎหมายแรงงาน ขยายสิทธิลาคลอดเป็น 120 วันโดยได้รับค่าจ้าง จะได้รับการพิจารณาในสภาอีกครั้ง แม้ว่าภาคประชาสังคมและขบวนการแรงงานจะเรียกร้องวันลาคลอด 180 วัน เพราะให้ความสำคัญถึงสุขภาพแม่และเด็กเป็นสำคัญ

ขบวนการแรงงานและภาคประชาสังคม เช่น มูลนิธิเพื่อนหญิง มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม สมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เป็นต้น ได้รวมตัวกันผลักดันการแก้ไขกฎหมายแรงงาน ขยายสิทธิให้แรงงานลาคลอดได้ 180 วัน และรับค่าจ้างเต็ม

วันลาคลอด 180 วันนั้นถือว่าเป็นการกำหนดเวลาขั้นต่ำเท่านั้น เพราะ 180 วันเป็นเพียงช่วงเวลาสำคัญของการให้นมบุตร แต่การลาคลอดต้องครอบคลุมถึงช่วงเวลาการดูแลสุขภาพของแรงงานผู้ตั้งครรภ์ ทั้งก่อนและหลังคลอดด้วย

แต่เมื่อเข้าสู่สภา มีการต่อรองปรับลดวันเหลือเพียง 120 วัน และเพิ่มสิทธิให้กับแรงงานบางประการ ในกรณีลูกที่เกิดมาเจ็บป่วยหรือพิการสามารถเพิ่มวันลาได้อีก 15 วัน และคู่สมรสก็สามารถลาเพื่อเลี้ยงดูลูกได้ 15 วัน

แม้จะไม่ได้วันลาคลอด 180 วัน อย่างที่คาดหวังไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการทางกฎหมายเพื่อสิทธิและสวัสดิการแรงงาน บนเส้นทางการต่อสู้ของพี่น้องแรงงานและประชาสังคมที่ยาวนานและเนิ่นนาน

ประวัติศาสตร์วันลาคลอด

พ.ศ. 2534 รัฐบาลแก้ไขระเบียบการลาคลอดของข้าราชการหญิงให้มีสิทธิลาคลอดได้ 90 วันจากเดิม 45 วันโดยรับเงินเดือนเต็ม แต่ไม่ครอบคลุมไปถึงลูกจ้างเอกชน ที่ลาคลอดบุตรได้ 60 วัน แต่ได้รับค่าจ้าง 30 วันเท่านั้น กลายเป็นความไม่เท่าเทียมทางโอกาส และสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ของระหว่างผู้หญิง กลุ่มลูกจ้างเอกชนหญิงเห็นถึงการเลือกปฏิบัติทางกฎหมาย

พ.ศ. 2535 สหภาพแรงงานและเครือข่ายเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องการขยายสิทธิลาคลอดเรื่อยมา เพราะก่อนหน้านั้นเมื่อแรงงานหญิงตั้งครรภ์ บางคนถูกไล่ออกจากงาน หรือบางคนรัดหน้าท้องซ่อน บางคนไม่ยอมไปพบแพทย์ เพราะการลาเท่ากับขาดรายได้ และถูกตัดเบี้ยขยัน หรือกลับเข้าไปทำงานหลังจากคลอดเพียง 15 วัน ทั้งๆที่ร่างกายยังไม่ฟื้นตัว และไม่ได้เปลี่ยนแผนกให้ทำงานเบาลง ส่งผลกระทบทั้งแม่และเด็ก

เพราะในทางการแพทย์นั้น ระยะเวลาฟื้นตัวหลังคลอด แม่ต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์สำหรับการคลอดธรรมชาติ และประมาณ 6-8 สัปดาห์ สำหรับคลอดแบบผ่าตัด อีกทั้งในช่วง 3 เดือนหลังคลอด แพทย์แนะนำไม่ให้แม่ใช้แรงงานหนัก และเป็นช่วงสำคัญที่แม่และเด็กจะมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์โดยตรง

พ.ศ. 2536 สหภาพและเครือข่ายแรงงานหญิงมากกว่า 500 คน รวมตัวกดดันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยกระดับความเข้มข้นด้วยการชุมนุมประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาล มีการอดข้าวประท้วงของแรงงานที่ตั้งครรภ์ และเพิ่มแรงกดดันด้วยการกรีดเลือดประท้วง

27 เม.ย. 2536 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานให้แรงงานหญิงสามารถลาคลอดได้ 90 วัน โดยยังได้รับค่าแรงเต็มจำนวน คือได้รับค่าจ้างเต็ม 45 วันจากนายจ้าง และ 45 วันจากกองทุนประกันสังคม เครือข่ายจึงประกาศยุติการชุมนุมโดยประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ในวันแรงงาน 1 พ.ค. ปีเดียวกัน

พ.ศ. 2554 มีความพยายามแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เพื่อกำหนดให้ลูกจ้างชายสามารถลางานได้ถึง 90 วันติดต่อกัน เพื่อช่วยภรรยาเลี้ยงลูกที่เพิ่งคลอด แต่ไม่สำเร็จ เพราะเมื่อรัฐบาลขอให้กระทรวงแรงงานแก้ไขกฎหมาย แต่กระทรวงออกประกาศกระทรวงแทน โดยขอความร่วมมือสถานประกอบการให้แรงงานชายสามารถขอลาหยุดงานได้ 15 วันติดต่อกัน ซึ่งประกาศกระทรวงระบุว่าต้องเป็นภรรยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย โดยให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายจ้างกำหนดวันลา

พ.ศ. 2562 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ได้แก้ไขให้แรงงานลาคลอดได้ ไม่เกิน 98 วัน และวันลาเพื่อคลอดบุตร ให้รวมวันลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตรด้วย ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ไม่เกิน 45 วัน และ 45 วันจากกองทุนประกันสังคม เท่ากับว่า 8 วันที่เพิ่มมาแรงงานไม่ได้ค่าจ้างใดๆ

พ.ศ. 2565 กฎหมายกำหนดให้ ผู้ชายสามารถลาไปช่วยเลี้ยงดูลูกได้ 15 วันเฉพาะภาคราชการเท่านั้น ส่วนภาคเอกชนยังไม่มีการบังคับใช้

ความสำคัญ 180 วันลาคลอด

ที่มาของการขยายวันลาคลอดเป็น 180 วันนั้น มาจากหลักสากลขององค์การอนามัยโลกและกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ที่กำหนดให้บุตรควรได้รับนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด

ตามที่องค์การอนามัยโลก สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากสำหรับทารก รวมถึงการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของทารก กระตุ้นการพัฒนาสมองในเชิงบวก และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ ระยะเวลาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่เพิ่มขึ้นยังเชื่อมโยงกับการติดเชื้อที่หูน้อยลง และลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนในเด็ก โรคระบบทางเดินหายใจ โรคเบาหวาน และกลุ่มอาการเสียชีวิตกะทันหันของทารก

การเพิ่มเวลาการดูแลและการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองที่เพิ่มขึ้น ยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทารกได้ ให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย ช่วยให้เด็กพัฒนานิสัยที่ดี ช่วยลดโอกาสที่คุณแม่จะมีอาการซึมเศร้าและความเครียด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของลูก

ผู้ปกครองที่มีสิทธิลาเลี้ยงลูกได้ระยะสั้นๆ มักจะต้องพึ่งพาการดูแลที่ไม่ใช่ผู้ปกครองสำหรับบุตรหลานของตนเมื่อกลับไปทำงาน แต่การดูแลที่ไม่ใช่ผู้ปกครองอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนาพฤติกรรมของเด็ก ยิ่งเด็กใช้เวลาในศูนย์ดูแลเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ ยิ่งส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมด้านลบมากขึ้น เด็กที่ได้รับการดูแลจากศูนย์เป็นเวลามากกว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะได้รับผลกระทบทางพฤติกรรมเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ

ช่วงเวลาหลังคลอดนั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและเปราะบางอ่อนไหวอย่างยิ่งทั้งแม่และเด็กแรกเกิด คุณแม่ที่เพิ่งคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น อาการบาดเจ็บจากแผลผ่าตัด กว่าแผลจะสมานกลับเข้าสู่สภาวะปกติจะใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยตัว-ปวดหลังจากการอุ้มท้อง

ทางด้านจิตใจหลังคลอด คุณแม่ย่อมต้องมีความกังวล ในการปรับตัวให้เข้ากับบทบาทใหม่ ยิ่งมีลูกคนแรกยิ่งต้องปรับตัวมากขึ้น เช่นการให้นมลูก การดูแลทารกแรกเกิด การอดหลับอดนอนในตอนกลางคืน และอาจมีความเครียดสูง สืบเนื่องจากการนอนน้อยและเหนื่อยล้าจากการเลี้ยงลูก ซึ่งสภาวะความเครียดนี้อาจรุนแรงจนนำไปสู่สภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้

การเพิ่มเวลาว่างในระหว่างตั้งครรภ์ยังสามารถเพิ่มสุขภาวะที่ดีให้กับคุณแม่ได้ ซึ่งสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ย่ำแย่ของแม่มีความสัมพันธ์กับผลเสียต่อผลลัพธ์การคลอด เช่น น้ำหนักแรกเกิดและอายุครรภ์ การได้ลาคลอดเป็นระยะเวลานานจะทำให้แก้ปัญหาน้ำหนักทารกต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้ถึง 3.2 % และลดโอกาสการคลอดก่อนกำหนดลง 6.6 %

สิทธิการลาเลี้ยงลูกที่เพิ่มขึ้น สามารถลดค่ารักษาพยาบาลในระยะยาวได้ เนื่องจากทารกที่คลอดครบกำหนดมีผลด้านสุขภาพที่ดีกว่าทารกที่คลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ยังลดอัตราการเสียชีวิตของทารกลงได้อย่างมาก

อ้างอิง: policywatch

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

สิงคโปร์ปรับเพิ่มจีดีพีปีนี้ อานิสงส์ตัวเลขไตรมาส 2 ดีเกินคาด

36 นาทีที่แล้ว

‘พูโล’ ขอบคุณ ‘อันวาร์’ ตัวกลางเจรจาแก้ปัญหา 3จังหวัดชายแดนใต้

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘การทูตทุเรียน’ เพิ่มศักยภาพแข่งขัน ในเทศกาลทุเรียนอาเซียน - จีน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

'ทภ.2'สรุปสถานการณ์ชายแดน มี ทหารเหยียบกับระเบิด เจ็บ1นาย

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสุขภาพอื่น ๆ

รพ.ลาดบัวหลวง ชูโมเดล "IoT" ช่วยผู้ป่วยเบาหวาน "หยุดยาสำเร็จ"

ฐานเศรษฐกิจ

อัปเดตสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ปิดศูนย์อพยพทั้งหมดแล้ว

ฐานเศรษฐกิจ

รพ.ลาดบัวหลวงเจ๋ง! ใช้ 'IoT' ช่วยผู้ป่วยเบาหวาน 'หยุดยาสำเร็จ'

กรุงเทพธุรกิจ

จากการจูงใจให้มีลูกไม่เกินหนึ่งคน ถึงการจ่ายให้มีลูก | บ้านเขาเมืองเรา

กรุงเทพธุรกิจ

10 จังหวัดเสี่ยง 'โรคขาดาบ' เด็กติดเชื้อซิฟิลิสตั้งแต่กำเนิด

กรุงเทพธุรกิจ

มันหวานอบ 1 หัว เพิ่มวิตามินเอให้ร่างกายได้ 400 เปอร์เซนต์

TNN ช่อง16

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...