ควรเลิกเชื่อได้แล้ว! ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ "การตื่นเช้า"
รู้หรือไม่ "การตื่นเช้า" ไม่ได้เหมาะกับทุกคน! ไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จเรื่องชีวิตหรือสุขภาพ ละทิ้งความเชื่อแบบผิด ๆ ด้วยการเข้าใจไทป์ตัวเอง
ความเชื่อเรื่องสุขภาพหนึ่งอย่างที่ถูกปลูกฝังมาตลอด คือ"การตื่นเช้า" แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ทุกคน ที่เหมาะจะตื่นเช้า โดยอ้างอิงจากงานวิจัยหลายแห่งในต่างประเทศเกี่ยวกับ “Chronotype” หรือรูปแบบเวลาชีวิตของแต่ละคน ชี้ให้เห็นว่าคนที่มีลักษณะ “Early bird” หรือเช้าตรู่อาจมีวินัยดีขึ้น และทำงานเช้าได้ดีขึ้นจริงในบางกลุ่ม เช่น นักเรียนหรือพนักงานบริษัท
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน คนที่มีลักษณะ “Night owl” กลับพบว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานและคิดวิเคราะห์สูงกว่าในช่วงเวลาของตัวเอง งานวิจัยระดับนานาชาติยังพบว่าการพยายามบังคับเวลาโดยฝืนจังหวะชีวภาพของตน อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงและเกิดความเครียดสะสม
ตื่นเช้าแล้วไม่ได้สุขภาพดีเสมอไป
งานวิจัยจากวารสาร JAMA Psychiatry พบว่าการตื่นเช้าเร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมง (โดยไม่ลดเวลานอน) อาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้าได้ แต่หากตื่นเช้าโดยไม่ได้พักผ่อนเพียงพอหรือจำกัดชั่วโมงการนอน อาจส่งผลตรงข้าม คือทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง สมองล้า และสุขภาพจิตแย่ลง การนอนหลับที่เพียงพอและต่อเนื่องตลอดคืนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด
การศึกษาจากกลุ่มนักเรียนและพนักงานที่ทำงานตามเวลาปกติ พบว่า “Morning type” หรือคนที่ตื่นเช้าโดยธรรมชาติ มีแนวโน้มเรียนรู้ได้ดีขึ้นในช่วงเช้า และมีความสม่ำเสมอในการใช้ชีวิต ขณะที่ “Evening type” หรือคนนอนดึก จะมีปัญหาหากถูกบังคับให้เข้าสู่กิจวัตรเช้า ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เป็นเพราะนาฬิกาชีวภาพภายในไม่สอดคล้องกับเวลาสังคม
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในยุโรปและเอเชียตะวันออก พบว่าในหมู่คนวัยทำงานและนักศึกษา “Night owl” หรือคนที่ชอบนอนดึกหรือใช้ชีวิตในเวลากลางคืนเป็นหลัก มีแนวโน้มทำแบบทดสอบด้านการวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ได้ดีกว่าในช่วงเวลาของตน ซึ่งชี้ว่า “การตื่นเช้า” อาจไม่ได้สัมพันธ์กับ “ความเก่ง” อย่างที่เคยเชื่อกันมา
อยากเป็นคน ตื่นเช้า "แบบไม่ฝืน" ต้องค่อย ๆ ปรับตัว
1.ใช้เวลาเข้านอนให้เพียงพอ
สิ่งสำคัญที่สุดของการตื่นเช้าไม่ใช่แค่เวลา แต่คือคุณภาพการนอน หากต้องตื่นเช้า ควรนอนเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้ชั่วโมงการนอนน้อยเกินไป
2.ปรับขึ้นทีละน้อย
แทนที่จะเปลี่ยนเวลาตื่นทันที ควรขยับเวลาตื่นทีละ 15–30 นาทีเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ระบบฮอร์โมนและสมองปรับตัวได้ ลดผลกระทบจากอาการมึนงงหรือง่วงนาน (Sleep inertia)
3.จัดกิจวัตรช่วงเช้าให้มีประโยชน์
เมื่อตื่นขึ้น ควรทำกิจกรรมที่กระตุ้นร่างกายและจิตใจ เช่น รับแสงธรรมชาติ ออกกำลังกายเล็กน้อย หรือจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ เพื่อสร้างความสดชื่นโดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีนหนัก
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ควรเลิกเชื่อได้แล้ว! ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ "การตื่นเช้า"
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th