สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ อดีตผู้พิพากษาหน.คณะในศาลอุทธรณ์ กับผลตัดสินคดีชั้น14 -วาทะนิติสงคราม
…เรื่องชั้น 14 มีปัญหาแน่นอน อย่างที่สังคมทั่วไปเขารู้ ที่ไม่จำเป็นต้องให้ศาลฎีกาวินิจฉัย เพียงแต่ตอนนี้เรารอเกณฑ์ที่จะมาบังคับเท่านั้นเอง…เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ผมว่าผิดหมด สิ่งที่เกิดขึ้น คือการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ปัญหาก็คือว่าตรงนี้ศาลจะกล้าก้าวหรือไม่ว่า เมื่อยังไม่มีการบังคับโทษ ก็ให้ไปบังคับโทษใหม่… กระบวนการทั้งหมด ที่มีการไต่สวน มันเกิดจากความไม่ชอบของเจ้าหน้าที่ อย่างคนไปถามนายทักษิณ ก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ก็ทำตามเขา เขาว่าป่วย ผมก็ป่วย ต้องรอดูว่าศาลจะก้าวไปถึงขนาดนั้นหรือไม่ว่าให้มีการบังคับโทษกับนายทักษิณใหม่ ตรงนี้ ถ้าศาลทำอย่างนั้นได้ จะเป็นอีกบทหนึ่งของทางนิติศาสตร์ว่า ศาลสามารถที่จะใช้อำนาจของตัวเองได้ในการบังคับโทษ กับบุคคลใดๆ ก็ได้ หากศาลเห็นว่า เขายังไม่ได้รับโทษ สิ่งนี้คือบทสรุป
ช่วงปัจจุบัน แวดวงการเมืองและคนไทยทั้งประเทศ กำลังเฝ้าติดตาม ผลคำวินิจฉัย-การตัดสินคดีของ”สองพ่อลูกตระกูล ชินวัตร”ทั้งทักษิณ ชินวัตร และแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
โดยในส่วนของแพทองธาร ก็คือการที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงฮุน เซน ในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. ขณะที่ทักษิณ คือคดีที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดอ่านคำสั่งผลการไต่สวนการบังคับโทษกับนายทักษิณ กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ในวันที่ 9 ก.ย.
“ไทยโพสต์”สัมภาษณ์พิเศษ”“สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ - อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์”ซึ่งรับราชการเป็นข้าราชการตุลาการ-ผู้พิพากษา มาถึง31 ปี ก่อน ก่อนที่จะยื่นใบลาออกจากราชการเมื่อเร็วๆนี้ เพื่อเข้ามาทำงานการเมืองกับพรรคไทยภักดี ที่มีนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เป็นประธานพรรค โดยได้รับมอบหมายให้เป็น “ประธานยุทธศาสตร์ด้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พรรคไทยภักดี”การเข้าสู่ถนนการเมืองของนายสุโรจน์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์จึงมีน่าสนใจอย่างยิ่งว่าเพราะเหตุใดถึงลาออกจากผู้พิพากษาที่เหลืออายุราชการอีกถึง 11 ปี เพื่อเข้าสู่การเมือง และเหตุผลใดถึงเลือกทำงานการเมืองกับพรรคไทยภักดี
ลำดับแรก เราพูดคุยกับ” สุโรจน์ – อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์”ถึงเรื่อง”คดีชั้น 14”ที่ศาลฎีกาฯเข้ามาไต่สวนเรื่องดังกล่าว เพื่อถามมุมมองในฐานะอดีตผู้พิพากษาว่ามองเรื่องนี้อย่างไร
-เรื่องกรณีชั้น 14 ประเด็นการบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯมองอย่างไร?
ผมห่วงตรงนี้ว่า เขาเรียกว่าอะไร การรับคำร้อง ไม่รับคำร้อง ยกคำร้อง คำร้องมันไม่มี แล้วศาลฎีกาฯไต่สวนโดยนำอะไรมารองรับ ตรงนี้สิ่งที่น่าห่วง เพราะหากศาลบอกว่า ศาลฎีกาฯจะวางบรรทัดฐาน มันจะใช่หรือไม่ ตามหลัก คือผมเป็นห่วงในเรื่องของวิธีพิจารณา สิ่งที่ศาลสั่ง เรื่องชั้น 14 มันต้องมีจุดรองรับเพราะเมื่อคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ตกไป มันก็ไม่มีคำร้อง เท่ากับว่าศาลฎีกายกคำร้องแล้วอยู่ๆ ศาลใช้อำนาจของตัวเองมาไต่สวน มันก็จะเกิดคำถามว่า แล้วต่อไปหากมีคำร้องอื่นๆ ตามมา ศาลจะใช้แบบนี้หรือไม่ ถ้าศาลไม่ใช้ มันก็จะกลายเป็นว่า ศาลเลือกข้างหรือไม่ อย่างที่ผมบอกเราต้องแก้กฎหมาย ประชาชนก็ร้องเองเลยก็จบ และหากประชาชนร้องท่านจะรับพิจารณาหรือไม่ หากประชาชนร้อง ศาลก็ไต่สวนว่าคำร้องมีมูลหรือไม่มีมูล ท่านไม่ต้องมาพิจารณา
..เพราะหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายของนักการเมือง เป็นหน้าที่ของทุกคนว่านักการเมือง ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ เพราะเขาเป็นบุคคลที่ต้องทำประโยชน์ให้กับสังคม สิ่งที่ศาลฎีกาฯ จะมีคำสั่งออกไป จะมีจุดรองรับในแง่วิธีพิจารณาอย่างไร ซึ่งผมยังมองไม่ออก แต่ว่าตรงนี้เหมือนกับหลักพื้นฐาน คือ หากยื่นคำร้องไปแล้วยกคำร้อง ทุกอย่างมันจบใช่หรือไม่ มันไม่มีอะไรจะให้ดำเนินการต่อ พอเราไปทำต่อสู้เราไปรับไม่ดีกว่าหรือ ถ้ารับคำร้องก็จบ จะมีอำนาจสมบูรณ์ ตรงนี้ผมว่าเป็นจุดอ่อนในมุมมองของผม มันเป็นจุดอ่อนของนิติวิธี มันเป็นกระบวนการทางนิติวิธี ที่เป็นจุดอ่อน
ตรงนี้ศาลต้องให้เหตุผลอย่างไรเพื่อให้เห็นว่า จะปิดจุดอ่อนตรงนี้อย่างไร เพราะโดยหลักแล้วเมื่อยื่นคำร้อง เหมือนอย่างยื่นฟ้องไป แต่ศาลยกฟ้อง มันก็หมด ศาลจะไปว่าต่อ มันก็ไม่มีอะไรเหลือ ที่จะให้ว่าต่อ อันนี้ก็เหมือนกัน อันนี้ห่วง แต่ความรู้สึกของสังคม อันนั้นใช่ ที่เป็นเรื่องของเนื้อหาแต่เรื่องของวิธีการ เพราะสิ่งที่ทำวันนี้คือบรรทัดฐานต่อไปในวันข้างหน้า ถ้าเกิดว่าเราไม่ทำตาม มันเหมือนกับว่าเราเลือกข้าง ซึ่งมันไม่ได้ เพราะกฎหมายมันเลือกปฏิบัติไม่ได้ ทุกอย่างมันต้องเกิดจากอำนาจโดยชอบของกฎหมาย ตรงนี้ผมห่วง คือผมก็ดูในแง่ของวิธีพิจารณาฯ เพราะอย่างที่บอก นายชาญชัย ยื่นคำร้องครั้งแรก ศาลฎีกาฯ ก็ยก แล้วไปยื่นซ้ำครั้งที่สองอีก ศาลฎีกาฯก็ยก พอไปยื่นครั้งที่สาม ก็ยก แต่ศาลแจ้งจะทำการไต่สวนเอง คำถามก็คือ แล้วเหตุใดไม่ไต่สวนตั้งแต่ตอนแรก และเมื่อไต่สวนแล้ว เวลาศาลฎีกาฯจะสั่ง จะสั่งอย่างไร เพราะปกติเวลาศาลสั่ง จะสั่งตามฟ้อง แต่กรณีชั้น 14 คำร้องไม่มีมันหมดไปแล้วศาลฎีกาฯจะสั่งอย่างไร อำนาจของศาลจะมีแค่ไหน"
ถามความเห็น ในฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ลาออกจากการเป็นผู้พิพากษามาแล้วแต่มีความรู้กฎหมาย ทำงานด้านกฎหมาย คิดว่าการบังคับโทษชั้น 14 มีปัญหาหรือไม่ "สุโรจน์-อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์"ระบุชัดว่า
"มีปัญหาแน่นอน อย่างที่สังคมทั่วไปเขารู้ ที่ไม่จำเป็นต้องให้ศาลฎีกาวินิจฉัย เพียงแต่ตอนนี้เรารอเกณฑ์ที่จะมาบังคับเท่านั้นเอง แต่ความรู้สึกของสังคมมันไปแล้ว"
เมื่อถามถึงว่า คดีชั้น 14 จะเป็นบทเรียนในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย การบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เป็นบทเรียนของนักการเมือง ที่อาจจะมีการใช้อำนาจรัฐช่วยเหลือกันไม่ให้ทำตามกฎหมายอย่างไร "อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์" กล่าวว่า ตอนนี้ผมว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ผมว่าผิดหมด ปัญหาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในความเห็นผม นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง มุมมองผม เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ปัญหาก็คือว่าตรงนี้ศาลจะกล้าก้าวหรือไม่ว่า เมื่อยังไม่มีการบังคับโทษ ก็ให้ไปบังคับโทษใหม่ ซึ่งตรงนี้โดยหลักแล้วมันต้องมีจุดรองรับ ซึ่งหากมีคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์อยู่มันก็จบ ก็สั่งไปตามคำร้องที่เขาร้องขอให้ศาลสั่งให้มีการบังคับโทษใหม่ แต่ตรงนี้ กระบวนการทั้งหมด ที่มีการไต่สวน มันเกิดจากความไม่ชอบของเจ้าหน้าที่ อย่างคนไปถามนายทักษิณ ก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ก็ทำตามเขา เขาว่าป่วย ผมก็ป่วย
“ดังนั้น ต้องรอดูว่าศาลจะก้าวไปถึงขนาดนั้นหรือไม่ว่าให้มีการบังคับโทษกับนายทักษิณใหม่ ตรงนี้ ถ้าศาลทำอย่างนั้นได้ มันก็จะเป็นอีกบทหนึ่งของทางนิติศาสตร์ว่าศาลสามารถที่จะใช้อำนาจของตัวเองได้ในการบังคับโทษ กับบุคคลใดๆ ก็ได้ หากศาลเห็นว่า เขายังไม่ได้รับโทษ สิ่งนี้คือบทสรุป ถ้ามันเป็นแบบนั้น”
…อย่างไรก็ตาม โดยเนื้อมันไม่มีอะไรมารองรับเพราะคำร้องของนายชาญชัยตกไปแล้ว หากคำร้องของนายชาญชัยยังอยู่ ก็โอเค ศาลสามารถสั่งได้เต็มที่ตามคำร้องที่ร้องมา คือศาลเห็นด้วยกับคำร้องที่ร้องมาแล้วศาลจะบังคับโทษใหม่ แต่เมื่อคำร้องเขาหมด ศาลจะกล้าพูดถึงตรงนี้หรือไม่ เจ้าหน้าที่โอเคว่าผิดหมด ถ้าในกระบวนการเท่าที่ฟังจากสื่อ แต่ปัญหาคือว่าสิ่งที่จะบังคับนายทักษิณ ศาลจะกล้าหรือไม่
จากข้าราชการตุลาการ สู่ถนนการเมือง กับพรรคไทยภักดี
สำหรับเส้นทางการทำงานเป็นผู้พิพากษาฯ ก่อนเข้าสู่ถนนการเมือง ”“สุโรจน์ -อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์”เล่าให้ฟังพอสังเขปว่า ปัจจุบันอายุ 59 ปี รับราชการเป็นผู้พิพากษาตั้งแต่ปี 2536 นับถึงปัจจุบันก็ 31 ปี
ผมรับราชการตอนเริ่มออกไปเป็นผู้พิพากษา เริ่มที่จังหวัดชุมพร จากนั้นไปศาลจังหวัดเลย -ศาลจังหวัดกำแพงเพชร -ศาลจังหวัดนครสวรรค์ -ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา -ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี -ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทำหน้าที่เลขานุการแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ ที่ดูแลคดียาเสพติดในชั้นศาลอุทธรณ์ทั้งประเทศ แล้วย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลแรงงานกลาง ดูแลเรื่องคดีแรงงาน จากนั้นมาเป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ประจำกองผู้ช่วย ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนาญพิเศษที่ดูแลคดีแรงงาน จากนั้นมาเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์กลาง เมื่อ 1 ต.ค. 2567
ถ้าเป็นสมัยก่อนก็เหมือนกับใกล้เกษียณ แต่หลายปีที่ผ่านมา มีการออกกฎหมายขยายเวลาการเกษียณอายุราชการของผู้พิพากษาให้เกษียณตอนอายุ 70 ปี หากอยู่รับราชการเป็นผู้พิพากษาต่อก็เหลืออายุราชการอีก 11 ปี แต่ผมคิดว่าการตัดสินใจตรงนี้ ผมมีความตั้งใจแล้วว่า ผมจะตัดสินใจจะมาทำงานด้านการเมือง ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่เคยคาดคิด
หากพูดถึงเส้นทางการทำงาน ผมเป็นคนที่ทำงานและทำงานหนักด้วย โดยไม่ค่อยได้สนใจงานในตำแหน่งบริหารเช่นรองอธิบดี ผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าใดนักเพราะผมมีความคิดว่า เราเป็นผู้พิพากษา คือเขาจ้างให้เรามาตัดสินคดี ที่ไม่ต่างอะไรกับทหาร ทหารก็ทำหน้าที่รบ ไม่ใช่มายุ่งกับการเมือง ทำนองนั้น
แนวความคิดของผมก็เหมือนกัน ผมมองว่าผู้พิพากษาโดยอาชีพ มีหน้าที่คือพิจารณาพิพากษาคดี ส่วนตำแหน่งบริหาร เรามองว่าเป็นเรื่องรอง เพราะว่าการที่เราจะตัดสินคดีเพื่อให้ความยุติธรรม มันอยู่ที่ตัวเราว่าจะสามารถให้ความยุติธรรมกับคู่ความที่เราต้องรับผิดชอบในการพิจารณาคดีหรือไม่
-สาเหตุที่ตัดสินใจลาออก?
จริงๆผมก็ไม่ได้คิดว่าจะลาออกมาทำงานการเมือง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผมคิดว่าผมเจออะไรบางอย่าง แน่นอนที่สุดว่ามันต้องมีความขัดแย้ง ซึ่งถ้าสรุปคือ หนึ่ง บุคคล สอง หลักการ สาม คุณธรรมและจริยธรรม ตรงนี้ต่างหากคือสาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจ
เพราะว่า ผมเข้ามาสอบเป็นผู้พิพากษาเพราะอุดมการณ์ สมัยก่อน เงินเดือนผู้พิพากษาไม่ได้เยอะ ต้องเป็นคนที่รักความเป็นธรรมจริงๆมาด้วยอุดมการณ์ และผมก็คิดว่าเมื่อถึงวันที่ผมออกจากผู้พิพากษาก็ด้วยอุดมการณ์ และวันที่ผมเข้าสู่การเมือง ก็ด้วยอุดมการณ์
ผมก็ครุ่นคิด เพราะเมื่อยื่นใบลาออกแล้ว ผมคิดว่าผมมาทำงานการเมืองดีกว่า ในฐานะที่เราเคยใช้อำนาจตุลาการ เพราะนักกฎหมายไปได้หมด ทั้งนิติบัญญัตติ บริหาร ตุลาการ เพราะต้องยอมรับว่าในระบอบประชาธิปไตยการขับเคลื่อนต่างๆ ต้องใช้กฎหมาย เพราะกฎหมายคือสิ่งที่สร้างความมั่นคงให้กับประเทศ ผมถือหลักว่าทุกคนต้องเคารพกฎหมายแล้วมันจะเดินหน้าไปได้
ผมคิดแบบนี้ว่า ความเป็นนักกฎหมายของเราหากเข้าสู่การเมือง มันไม่ใช่อุปสรรค และเป็นเรื่องดีเสียอีก เพราะผมเชื่อว่าในระบอบประชาธิปไตย อำนาจที่สมบูรณ์ที่สุดคืออำนาจที่มาจากประชาชน และตราบใดที่ประชาชนสถาปนาอำนาจให้กับเรา ผมถือว่านั่นคือความชอบธรรม
สำหรับในส่วนของตุลาการ ในความคิดของผม เป็นความชอบธรรมในลักษณะที่ว่า เป็นความยุติธรรมในลักษณะสำเร็จรูป คือประเทศเรา จะมีตุลาการ จะมาทำหน้าที่ตัดสินคดี มีที่มาแบบนี้ ซึ่งตรงนี้เป็นระบบที่แข็ง เพราะมีการสอบเข้า ซึ่งระบบสอบเข้าไม่สามารถวิ่งเต้นได้ อันนี้คือจุดแข็งของระบบ เราต้องยอมรับ ซึ่งอำนาจประชาชนไม่สามารถสถาปนาอำนาจตุลาการได้โดยตรง เพราะเราต้องยอมรับว่าระบบการเลือกตั้งของเรา ก็มีปัญหาอยู่ ตรงนี้อาจเป็นข้อยกเว้นแต่ในเมื่อ ผมไม่ใช่ผู้พิพากษาแล้ว หากผมจะทำงานด้านการเมือง ในด้านนิติบัญญัติหรือบริหาร ผมก็ต้องกลับไปสู่ประชาชน ต้องให้ประชาชนสถาปนาให้อำนาจผม สิ่งนี้คือจุดที่ผมคิดว่า การทำงานทางการเมือง เราต้องขอฉันทามติจากประชาชน
สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากผู้พิพากษามาทำงานการเมือง ก็คือ บุคคล อาจเป็นเรื่องตัวบุคคล สอง หลักการ และสาม คุณธรรมและจริยธรรม โดยผมเริ่มตัดสินใจตั้งแต่ช่วงเดือนก.ค. 2567 ผมเริ่มคิดว่าจากสิ่งที่เราไม่ชอบ เราต้องทำ เราต้องเข้ามาสู่ตรงนี้
แน่นอนที่สุด ชีวิต มันอาจไม่ได้เป็นไปตามแผนการที่เราวางไว้ ผมก็คิดว่าจากที่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะเข้ามาทำงานการเมือง พอถึงจุดหนึ่งผมก็ต้องมา แล้วผมก็ศึกษาแนวทางของพรรคการเมืองต่างๆ แต่ที่ตรงกับความคิดที่อยู่ในใจก็คือ พรรคไทยภักดี -นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม
เพราะที่เราทำงาน เราอยู่กับความถูกต้อง สิ่งที่พรรคไทยภักดียืนหยัดก็คือความถูกต้อง ผมก็มองว่าในเมื่อตอนเราเป็นผู้พิพากษา เราอยู่กับความถูกต้องมาตลอดสามสิบกว่าปี ผมคิดว่าหากผมจะทำงานการเมือง ผมก็ต้องไปอยู่ในจุดนี้ อย่างน้อยจุดของความถูกต้อง มันเป็นจุดที่ดีที่สุด เพราะมันไม่เกี่ยวกับเรื่องของผลประโยชน์
หากถามผมว่า ผมทำงานการเมือง ผมคิดถึงอะไร หนึ่ง คือความถูกต้อง สอง ผมคิดถึงแผ่นดิน สาม ลูกหลาน สี่ ผมคิดถึงบรรพบุรุษ ผมเลยตัดสินใจเลยว่า เรานึกถึงความถูกต้อง เรานึกถึงแผ่นดินเกิด ลูกหลาน บรรพบุรุษ ประกอบกับการเมือง สภาพการณ์เมืองปัจจุบัน มันเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย เป็นสิ่งผิดแผก ผมเชื่อว่าจากตั้งแต่เด็กจนโตเมื่อดูการเมืองปัจจุบัน มันเป็นเรื่องผิดแผก เป็นสิ่งที่เราไม่คุ้น เราได้ผู้บริหารยังไง..ที่เราไม่คุ้นเคย เราได้คนมาเป็นรัฐมนตรียังไง วุฒิภาวะขนาดไหน เราก็ไม่คุ้นเคย แต่เราต้องมาอยู่กับโครงสร้างแบบนี้
..สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าทุกคนมีหน้าที่ในเรื่องการเมือง เพราะการเมืองก็คือชีวิตประจำวันของเรา เดิมทีผมก็ไม่เข้าใจสมัยก่อนการเมืองมายุ่งอะไร แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่ เพราะทุกวันมันเป็นเรื่องการเมืองทั้งนั้น มันเป็นหน้าที่ เราปฏิเสธตรงนี้ไม่ได้ แม้เราปฏิเสธวันนี้ แต่เราก็ปฏิเสธไม่พ้นวันรุ่งขึ้นหรือในอนาคต
-มองการเมืองไทยในช่วงสิบปีหลังอย่างไรบ้าง?
ผมมองแบบนี้ ตอนราเป็นผู้พิพากษา เราตั้งหลักไว้ในเรื่อง"ความเป็นกลาง"ผมจะเป็นคนปิดตัวเอง จะไม่ค่อยไปสุงสิงกับใครมากมาย ผมมองว่าการเมืองเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย เพราะสิ่งที่ทำให้เราไม่คุ้นเคย โดยหากมองการเมืองในรอบสิบปีที่ผ่านมา แต่หากขยับไปถึงตั้งแต่ปี 2549 ที่มีการทำรัฐประหารรัฐบาลไทยรักไทย ผมมองว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคและเราต้องต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ก็คือเรื่อง"ทุน"เรื่อง"ทุนนิยม"เราต้องยอมรับก่อนว่า การเมืองมีเรื่องทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง พอมีทุนนิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็สู้กันนาน มันจะต่อสู้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ประเด็นก็คือ ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยม มันเข้าไปสอดคล้องกันหมดเลย ทุกวันนี้ สังคมไทยเรากำลังต่อต้านสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้อยู่ที่มีเบื้องหลังก็คือทุน
ซึ่งผมมองว่าสังคมไทยยังไม่เพลี่ยงพล้ำ ยังถึงจุดที่เรายังสามารถเยียวยาได้ ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต เพราะรากฐานของความเป็นไทยแข็งแรงพอสมควรที่จะต้านความไม่ชอบมาพากลทางการเมือง
-การเข้ามาทำงานการเมืองที่พรรคไทยภักดี วางเป้าหมายไว้อย่างไรบ้าง หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในอนาคต?
เรื่องนี้คงแล้วแต่กรรมการบริหารพรรค แต่ความเห็นผม ก็คือเมื่อผมลงมาแล้ว คงไม่ทำงานอยู่เบื้องหลังแต่ว่าเราก็เคยเป็นอดีตผู้พิพากษา จะไปสมัครส.ส.ระบบเขตก็คงไม่ได้ เพราะชีวิตที่ผ่านมาเราไม่ได้สัมผัสกับมวลชน สภาพจำกัดการเป็นผู้พิพากษาทำให้เราไม่ได้ไปสัมผัสผู้คน ก็ทำให้เราไม่มีฐานเสียงเลย จุดที่เราจะมาลงเต็มตัวก็คงลงสมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
โดยหลังจากนี้ จะเข้ามาช่วยงานพรรคในด้านนโยบาย เพราะผมมองว่าระบอบประชาธิปไตยสิ่งที่มันขับเคลื่อนคือกฎหมาย เพราะกฎหมายคือความชอบธรรม คือกติกาของสังคม
อย่างเรื่องเศรษฐกิจ การศึกษา ก็มีเรื่องของกฎหมาย ที่ผมก็จะเข้ามาดูแลในเชิงนโยบาย ยกตัวอย่างเช่น พรรคไทยภักดีจะมีนโยบายให้ความสำคัญกับชุมชนอย่างไร ก็ต้องมีกฎหมาย หรือการฟื้นฟูเศรษฐกิจก็มีเรื่องของกฎหมาย เพื่อทำให้เศรษฐกิจมันเดินไปข้างหน้าได้ ก็ต้องไปพิจารณาดูระเบียบ กฎหมายต่าง ๆที่ขวางอยู่เช่น ไปพิจารณากฎหมาย ระเบียบของธปท.หรือกฎหมายว่าด้วยการคลัง หรือการจะให้ความสำคัญกับธุรกิจSME ก็อาจต้องใช้กฎหมาย ที่ก็เหมือนยาเข้าไปรักษาเพื่อให้เกิดความมั่นใจ เกิดการะตุ้นทางเศรษฐกิจขึ้นมา เพื่อรักษาสมดุลและทำให้สภาวะเศรษฐกิจกลับมาเดินได้ จุดแรกก็คือกฎหมาย
กระบวนการยุติธรรมประเทศไทย ปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่ตัวกฎหมาย
-ในฐานะที่เป็นอดีตผู้พิพากษา ทำงานอยู่ในสายงานด้านกระบวนการยุติธรรม มองว่าปัญหาของกระบวนการยุติธรรมคืออะไร และหากจะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ต้องทำอย่างไรบ้าง?
ผมมองว่าปัญหาของบ้านเรา อยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย จนบางครั้งผมมองว่า เราใช้กฎหมายฟุ่มเฟือยหรือไม่ ผมอาจมีความเห็นส่วนตัว กระบวนการต่าง ๆทางกฎหมายเมื่อมีผลบังคับใช้แล้ว เราถามก่อนว่าคนที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เขาทำหน้าที่ได้เต็มที่หรือยัง เพราะหากมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ แล้วมันเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ตรงนี้ถึงจะนำพาไปสู่การแก้ไขกฎหมาย
หากถามความเห็นผมในความเป็นอดีตผู้พิพากษาในภาพกว้างของกระบวนการยุติธรรม ผมมองว่าในระบบของเรา บางอย่างโดยเฉพาะเรื่องทางการเมือง เราต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เราไม่คุ้นเคย คือเป็นเรื่องที่ศาลยุติธรรม จะไม่คุ้นเคยในแง่ของการนำสิ่งที่เกิดขึ้นในทางการเมือง เข้ามาสู่ระบบการกลั่นกรองของศาล คือหากเป็นคดีทั่วไป ไม่มีปัญหา เราเชี่ยวชาญ แต่ปัญหาว่าคดีการเมือง เราจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว และศาลก็ดี องค์กรอิสระก็ดี หากทำหน้าที่ไม่เต็มที่ มันก็จะเกิดการยอมรับอำนาจนอกระบบเข้ามาจัดการ เราพูดง่ายๆ คือการรัฐประหาร
ตรงนี้ผมมองว่าในมิติทางการเมือง ศาล-องค์กรอิสระต้องรวดเร็วเพราะองค์กรเหล่านี้เกิดจากรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายแม่บท เมื่อพื้นฐานเกิดจากรัฐธรรมนูญเมื่อเกิดปัญหาการเมือง ก็ต้องรวดเร็ว เช่น คำวินิจฉัยของกกต.ต้องรวดเร็ว แต่ถ้าถามตอนนี้ก็เหมือนกับสังคมก็รอฟังว่าเมื่อไหร่จะตัดสิน อย่างหากมองต่างประเทศ เช่นประธานาธิบดีของสหรัฐฯโดนัลด์ ทรัมป์ ออกนโยบายหลายอย่าง แต่ศาลของสหรัฐฯ ก็เบรกหลายเรื่อง โดยหากเป็นบ้านเรา เผลอๆยังไต่สวนอะไรอยู่ ซึ่งผมมองว่ามันไม่ใช่ ผมมองว่าระบบการวินิจฉัยคดีต่างๆ เราควรใช้ระบบไต่สวนเต็มรูปแบบ
-เช่นหากมีการร้องว่า นายกฯปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ?
ใช่ ศาลต้องไต่สวนเลย มันต้องแบบนั้น ส่วนจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลรัฐธรรมนูญ ต้องแล้วแต่ลักษณะของปัญหาว่ามีขอบเขตอย่างไร หากเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ ก็ศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากเป็นคดีที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องคดีปกครองก็ไปศาลปกครองแต่หากเป็นเรื่องทางแพ่ง อาญา ก็ไปศาลยุติธรรม ก็ไต่สวนเต็มรูปแบบให้รวดเร็ว
อย่างหากมีประชาชนเข้าชื่อกันเพื่อให้ศาลไต่สวน เราจะยอมรับตรงนี้กันหรือไม่ ที่ความเห็นผม เราต้องเปิดโอกาส เพราะหากเรารอองค์กร หากมีปัญหาขึ้นมา กระบวนการต่างๆ ก็อาจจะช้า ประชาชนจึงควรสามารถเข้าไปร้องโดยตรงให้ไต่สวนได้ โดยกำหนดว่าต้องมีประชาชนเข้าชื่อขั้นต่ำกี่รายชื่อ หากครบร้องมาศาลก็เปิดไต่สวน แล้วศาลก็เรียกมา เพราะข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้ว เช่นสื่อนำเสนอข่าว แล้วศาลจะบอกไม่รู้เรื่องได้อย่างไร จะบอกไม่อยู่ในสำนวนได้อย่างไร
-เช่นกรณีเคสชั้น 14 รพ.ตำรวจ?
ใช่ถูกต้อง คนทั้งเมือง ทั้งประเทศเขารู้ว่ามันมีปัญหา แต่กระบวนการก็อย่างที่เห็นกว่าจะยื่นคำร้อง กว่าศาลจะยกคำร้อง เวลาและความรวดเร็วผมมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทาง เพราะหากช้าผมว่ามันไม่ใช่ ศาลสามารถกำหนดได้ โดยทำให้เสมอภาค ไม่มีการเลือกปฏิบัติ
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ศาลและองค์กรอิสระ จิตใจหนักแน่นพอหรือไม่ที่จะไม่เลือกปฏิบัติคือจิตใจต้องเป็นกลางจริงๆ ต้องมีความหนักแน่นและมีความกล้าหาญ ถามว่าทำได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าทำได้ แต่ต้องดูว่า ในเรื่องกฎหมาย การจะทำดังกล่าว ในทางปฏิบัติ เป็นกฎหมายระดับรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากเป็นรัฐธรรมนูญ ก็ค่อนข้างจะแก้ไขเพิ่มเติมยาก พรรคไทยภักดี ก็จะไปดูกฎหมายที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ เช่นหากสมมุติ เราได้รับเลือก เราก็จะเข้าไปขับเคลื่อนแก้ไขกฎหมายเหล่านี้ให้ใช้ได้เลย ตรงนี้ก็เป็นนโยบายพรรคไทยภักดี ที่ทางพรรคมอบหมายให้มาช่วยดูแล
-มองว่ากฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่มีอยู่ปัจจุบัน มีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ และควรปรับปรุงอย่างไร ก่อนหน้านี้ไทยภักดีก็เคยประกาศคดีทุจริตต้องไม่มีการลดโทษ และต้องเพิ่มโทษสูงสุดคือ ประหารชีวิต?
ผมมองแบบนี้ว่า ผมก็เคยทำคดี เคยตัดสินคดี ผมเคยตัดสินประหารชีวิตคดียาเสพติด สมัยอยู่ศาลจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งการที่ศาลจะตัดสินประหารชีวิต ใครสักคน ต้องคิดแล้วคิดอีก ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะบางที มันไม่ชัดเจนว่าใช่หรือไม่ คือเราเห็นพยานหลักฐานแล้วว่ามันไปได้ ควรลงโทษเขาถึงขั้นนั้น แต่บางอย่างมันมีเหตุปัจจัยอย่างอื่น ที่มาฉุดรั้งความคิดเราว่า เอาแค่จำคุกตลอดชีวิตพอหรือไม่ ไม่ต้องถึงประหารชีวิต ก็มี เพราะการตัดสินประหารชีวิตมันไม่ใช่เรื่องง่าย
สิ่งที่จะทำแบบนั้นได้ ต้องใช้ระบบไต่สวน คือไต่สวนเต็มรูปแบบ เพราะศาลฟังชัดจากพยานหลักฐาน เหมือนเปาบุ้นจิ้น อยากให้นึกถึงเปาบุ้นจิ้น หากศาลใช้วิธีไต่สวนแบบเปาบุ้นจิ้น ศาลก็มั่นใจในการตัดสินประหารชีวิตคนทุจริต แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ผมเชื่อว่าไม่มั่นใจ
คือหากเป็นคดีทุจริต ปัจจุบันก็มีศาลอาญาคดีทุจริตฯ ที่ก็ใช้ระบบไต่สวน แต่ผมว่ายังไม่ใช่ระบบไต่สวนเต็มรูปแบบ อย่างกรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ นี้คือตัวอย่างการไต่สวนเต็มรูปแบบ ศาลมีการสอบถามว่าจะเสนอพยานใครบ้าง ศาลเป็นฝ่ายพิจารณาว่าจะเรียกพยานบุคคลใครมาไต่สวน แต่การพิจารณาคดีของศาลอาญาคดีทุจริต ฯ ต้องให้ป.ป.ช.หรืออัยการฟ้อง แล้วพอฟ้อง คนที่ถูกเอาผิดก็ต้องมาคอยแก้ข้อกล่าวหา ผมก็เห็นว่าเราควรใช้วิธีไต่สวน เช่นหากมีประชาชนเข้าชื่อร้องมาว่ามีใครทุจริต ศาลก็เปิดไต่สวน แล้วก็มีมาตราการในการริบทรัพย์สิน ยึดทรัพย์ก็ให้ไปคู่กัน ก็ให้มีการพิสูจน์ เช่นบอกว่าคนที่ถูกร้องคุณอยู่ในตำแหน่งนี้แล้วมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมา ก็ให้ตกเป็นของแผ่นดินก่อน แล้วก็มาหักล้างว่าเงินที่เพิ่มขึ้นมาไม่ใช่เงินจากการทุจริต
สิ่งที่ผมเสนอคนอาจแย้งว่า มันมีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องถามว่าแล้วที่มีอยู่มันมีประสิทธิภาพหรือไม่ หากไม่มีประสิทธิภาพมันก็ต้องเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โดยการเสนอรูปแบบใหม่ในการทำ
ในความเห็นผม ระบบที่เป็นอยู่มันยังช้า ลองคิดดู ปัญหาของคนๆเดียว อันนี้ผมพูดโดยไม่ได้มีอคติอะไร แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปี แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ คิดดูว่าเขาออกจากชั้น 14 ไปนานเท่าใด ก็ยังไม่มีคำตัดสินอะไรออกมา แต่สังคมพิพากษาไปแล้วว่ามันคืออะไร ที่ผมก็ไม่มั่นใจว่าผลแห่งคดีจะเป็นอย่างไร แต่ในแง่กระบวนการ ผมว่ามันควรรวดเร็ว มันชัดอยู่แล้ว
สำหรับที่ผ่านมา มีอดีตผู้พิพากษา ที่เข้ามาสู่การเมือง ก็มีไม่มากนัก อาจจะมีบ้างบางคนแต่ก็เข้ามาหลังพ้นจากการเป็นตุลาการแล้วเช่น นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา หลังเราคุยกันประเด็นนี้ "สุโรจน์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์"กล่าวว่า ผมอาจจะพูดได้ว่า ผมเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ก็ได้ คือยังอยู่ในราชการ ฯ แล้วลาออก ตั้งใจมาทำงานการเมือง
…อย่างคุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็เคยเป็นอดีตผู้พิพากษาแต่ก็อยู่ไม่ถึงสิบปีเลย ผมอาจจะเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ของศาลก็ได้ ที่ลาออกจากผู้พิพากษามาทำงานการเมือง ส่วนคุณมานิตย์ ก็มาหลังจากเป็นผู้พิพากษาอาวุโสฯ แต่ตอนนั้นเขาเข้ามาการเมืองโดยเงื่อนไขอะไรเราก็ไม่รู้ในช่วงนั้น แต่ว่าผม หากยังทำงานอยู่ไม่ลาออก โอกาสผมก็ไปถึงผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาฯ นั่งเขียนคำพิพากษา วางหลักกฎหมาย แต่ผมคิดว่าผมเป็นคนแรกที่ตั้งใจ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งท้าทายสำหรับผม ซึ่งการเมืองก็จะกว้าง ทำให้เราเห็นอะไรได้เยอะ จากการที่เราอยู่ในระบบแล้วออกมาข้างนอก ก็จะทำให้เห็นว่าสังคมเขามองอะไรต่างๆ อย่างไร
วาทกรรมนิติสงคราม แค่ถ้อยคำของนักประดิษฐ์คำพูด
-ในฐานะอดีตผู้พิพากษา มองที่คนเคยพูดกันเรื่องตุลาภิวัฒน์ก่อนหน้านี้ รวมถึงคำว่านิติสงคราม ในปัจจุบันอย่างไรบ้าง?
ตุลาการภิวัฒน์ ผมว่าเป็นถ้อยคำ เราต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีนักประดิษฐ์ถ้อยคำเยอะ อย่างนิติสงคราม อันนี้ก็ไม่ใช่ นิติสงครามก็บัญญัติกันขึ้นมา ที่ผมว่าไม่ใช่เพราะมันเป็นเรื่องของกฎหมาย เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติไว้ เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย โดยที่การบังคับใช้กฎหมายออกไปในลักษณะที่กระทบกับการเมือง เราต้องยอมรับก่อนว่ากระบวนการต่าง ๆทางกฎหมายเขาเขียนไว้ไม่ได้หวังผลให้เป็นแบบนี้ ที่จะใช้เครื่องมือกฎหมายมาประหัตประหารกัน
เขาเขียนเพื่อป้องกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน -การปราบปรามการทุจริต -การตรวจสอบและถ่วงดุล แต่ตอนนี้ผมคิดว่ามีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ถามว่าเขามีสิทธิ์ใช่หรือไม่ ก็มีสิทธิ์ ในเมื่อกฎหมายเขียนไว้แบบนั้น อย่างการไปร้องให้ยุบพรรค ร้องให้ตัดสิทธิทางการเมือง มันเป็นเรื่องกฎหมาย แต่การมาใช้คำว่า ตุลาการภิวัฒน์ นิติสงคราม มันไม่ใช่ มันเป็นการประดิษฐ์ถ้อยคำ
-เพื่อหวังจะด้อยค่าเช่น องค์กรศาล?
ใช่ ถูกต้อง แต่หากนักการเมืองมีสปิริต สิ่งเหล่านี้ต้องไม่เกิด ถูกหรือไม่ หากนักการเมืองมีจิตสำนึกเรื่องมาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง สิ่งเหล่านี้ต้องไม่เกิด กระบวนการเหล่านี้มันเกิดขึ้นเพราะนักการเมืองไม่มีสปิริตทางการเมือง พอไม่มีสปิริตทางการเมือง ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องใช้มาตราการทางกฎหมายเข้ามาจัดการ อย่างเกิดอะไรขึ้น ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แถลงลาออกหรือนายกฯญี่ปุ่นประกาศลาออก เรื่องก็จบ ถ้าแบบนั้น จะไม่มีคำว่านิติสงคราม ตุลาการภิวัฒน์ เพราะสปิริตเกิดจากนักการเมืองแต่บ้านเรามันไม่ใช่
พอมันไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายที่มีอำนาจก็ต้องหามาตราการต่างๆ ก็ใช้กฎหมายเพื่อให้องค์กรที่ทำหน้าที่วินิจฉัยมาตัดสิน หากเรามอง จะพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของสปิริตของนักการเมือง เหมือนอย่างรัฐบาลปัจจุบัน หากคิดว่ามีสปิริตทางการเมืองจริง รัฐบาลต้องมีอันเป็นไปแล้ว ไม่มีชนิดที่ว่าต้องไปยื่นตุลาการศาลรธน. ไม่ต้องไปยื่นป.ป.ช. อยู่ที่ตัวเอง เช่นในเมื่อสังคมรับไม่ได้ ก็แถลงลาออกหรือยุบสภา ก็จบ การมาประดิษฐ์ถ้อยคำว่า นิติสงคราม ตุลาการภิวัฒน์ มันก็จะไม่มี
-มองเรื่องการที่รัฐธรรมนูญที่เขียนออกมาระยะหลัง มีการพยายามจะดึงศาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้น เช่นการให้ประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาองค์กรอิสระทุกแห่งและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ?
มองว่าพอมีการยกร่างรัฐธรรมนูญ บางอย่างมันเป็นเรื่องของหน้าตาองค์กร ก็มองว่า ประมุของค์กรต้องเป็นประธานคณะกรรมการสรรหากรรมการองค์กรอิสระ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องดาบสองคม เพราะว่าต่อให้ทำในนามของคณะกรรมการสรรหาฯ แต่ว่าประธานกรรมการสรรหาฯ ก็เป็นประธานศาลฎีกา พวกนี้มันยังค้ำอยู่
ในความคิดเห็นของผม การที่จะหาคนมาเป็นกรรมการสรรหาที่จะกลั่นกรอง พอจะมีหนทางหรือไม่ ที่จะไม่ให้ประมุขศาลเข้ามา ผมว่าก็มี เพราะพอเป็นประมุขศาล แล้วเขามาตรงนี้มันจะเหมือนมีส่วนได้เสีย เพราะต้องลงคะแนน ผมว่าตรงนี้มันไม่เหมาะสม
ยกตัวอย่าง เวลารับสมัคร เมื่อมีผู้พิพากษาศาลฎีกามาสมัครด้วย แล้วประธานศาลฎีกาจะลงคะแนนให้ใคร เห็นไหมว่ามีส่วนได้เสียแล้ว แต่หากเป็นผม จะไม่ลงมติ เพราะถือว่าผู้ใต้บังคับบัญชามาสมัครด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการมีส่วนได้ส่วนเสียเพราะเรื่องการมีส่วนได้ส่วนเสียเป็นเรื่องสำคัญ แต่ผมก็มองว่า ก็ยังดีที่มีกระบวนการลงมติของสมาชิกวุฒิสภา ที่ยังถ่วงดุลอยู่ ในความเห็นส่วนตัวผม คิดว่าเมื่อมีกฎหมายออกมาเราต้องเคารพ เราต้องปฏิบัติ ที่มาของสว.จะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของสว. ต้องไปว่ากันแต่เป้าหมายที่เขาตัดสินอะไรไปผมว่าเขาใช้ได้ เพราะสว.เขามองเห็นอะไรเยอะ เวลามีการตรวจสอบประวัติบุคคลที่ได้รับการคัดเลือก ข้อมูลมันออกมาหมดว่าใครเป็นอย่างไร
ตีแสกหน้า-วิพากษ์หลักสูตร บศย.
-ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องหลักสูตรของศาลยุติธรรม บศย. หรือหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง จนมีเสียงทักท้วงให้มีการทบทวน?
ผมไม่เอาเลย ผมไม่เห็นด้วย ผู้พิพากษาไปเรียนโน้นเรียนนี้ ที่ผมว่ามันไม่ใช่ เราต้องยอมรับก่อนว่า ศาล เราได้บุญ บารมีของบรรพตุลาการที่สร้างมา ที่ทำให้ศาลมีความน่าเชื่อถือแล้วสมัยก่อนมีหรือไม่ หลักสูตรอะไรต่างๆ ก็ไม่มี ศาลต้องปิดตัวเอง มุมมองผม แต่คนก็บอกหากทำแบบนั้นจะไปทันโลกได้อย่างไร แต่ผมว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ขนาดอยู่เฉย ๆก็ยังมีอะไรเข้ามาข้างในได้(โทรศัพท์) ก็เลยกลายเป็นว่า เด็กของใคร ส่งใครไปเรียน
ส่วนคนทำงานก็ทำงานไป ส่วนคนจะไปเรียน ก็ต้องดูแลหน่อย ต้องมีคนรู้จัก มีcontract ที่ไม่ใช่ภารกิจของศาล หรือจะใช้คำนี้ มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ ที่ศาลต้องไปเรียนโน้นเรียนนี้ มันไม่ใช่ ดูกฎหมายอย่างเดียวก็พอ
คือหากจะไปเรียนเพิ่มเติมกฎหมาย แบบนี้ไม่มีใครว่าอะไร แต่หลักสูตรอบรมต่างๆ ที่ไปแล้วต้องมีการพบปะ แล้วทุกคนไปเข้าตรงนั้น ก็จะเอาตำแหน่งไปหากิน ถูกหรือไม่ ไปบอกว่าผมเป็นใคร เป็นอธิบดีอะไรต่างๆ เป็นประธานอะไรต่างๆ ก็เอาตำแหน่งศาลไปหากิน ผมมองแบบนั้นเลย ซึ่งผมแอนตี้ ผมไม่เคยมีความคิดที่จะไปเรียนเลย
-คาดหวังกับการเข้าสู่การเมืองอย่างไร?
แน่นอนที่สุด สังคมไทยเวลานี้ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ต้องการสิ่งที่มาเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็นอยู่ ผมก็อยากให้เขาทบทวนสิทธิที่เขาเลือกตั้ง ว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะตัดสินใจอย่างไร สิ่งที่สำคัญกว่าการใช้สิทธิก็คือการทบทวนสิทธิ ว่าครั้งต่อไปจะเลือกใครเป็นตัวแทน สิ่งที่เลือกกันมา มันเป็นผลสรุปอะไรบ้างให้กับบ้านเมืองแล้วเราจะเลือกอย่างไร เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในฐานะที่อยู่พรรคไทยภักดี ผมจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง สังคมไทยต้องมีคุณธรรมสี่ประการคือ หนึ่ง ความกล้าหาญ สอง ความยุติธรรม สาม ความรู้ สี่ ความยับยั้งชั่งใจ นี้คือภูมิคุ้มกันที่เราจะสู้กับทุนนิยมในระบบประชาธิปไตย มันเข้ามาอยู่ในระบบประชาธิปไตยอย่างกลมกลืน แล้วคนที่มีทุนก็เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อหวังหาผลประโยชน์ สิ่งนี้คือปัญหาหนัก
โดยวรพล กิตติรัตวรางกูร