นักวิจัยคิดค้น ‘ซูเปอร์ฟู้ด’ สำหรับผึ้ง ให้สารอาหารครบ ป้องกันสูญพันธุ์
“ผึ้ง” คือหัวใจสำคัญของการผลิตอาหารโลก และมีส่วนช่วยในการผสมเกสรของพืชผลถึง 70% แต่ในตอนนี้ผึ้งกำลังจะสูญพันธุ์จากปัญหาสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ถิ่นที่อยู่ถูกคุกคาม การสัมผัสกับยาฆ่าแมลง โรคร้ายและโภชนาการที่ย่ำแย่ ในแต่ละปีโลกสูญเสียผึ้งราว 40-50% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก
หากโลกสูญเสียผึ้งก็จะทำผลิตอาหารได้น้อยลง ในขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญได้คิดค้นอาหารสำหรับผึ้ง เพื่อให้พวกมันเจริญเติบโตได้ต่อไป
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัฐวอชิงตัน (WSU) และ APIX Biosciences บริษัทเทคโนโลยีการเกษตร ทำการผลิต “ซูเปอร์ฟู้ด” สำหรับผึ้ง ซึ่งรวบรวมสารอาหารทุกชนิดที่จำเป็น มีลักษณะคล้ายกับธัญพืชอัดแท่งของมนุษย์ โดยนักวิจัยจะนำอาหารนี้ไปวางไว้ภายในรังผึ้ง ซึ่งผึ้งงานจะย่อยและกระจายสารอาหารไปยังตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ผึ้งที่ขาดสารอาหารสามารถเจริญเติบโตได้ดีด้วยอาหารพิเศษชนิดนี้
ผึ้งกินละอองเรณูและน้ำหวานจากดอกไม้ ซึ่งมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต รวมถึงไขมันที่เรียกว่า “สเตอรอล” พวกมันผลิตน้ำผึ้งในรังผึ้ง ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งอาหารของพวกมันในช่วงฤดูหนาว ที่ดอกไม้หยุดผลิตละอองเรณู
เมื่อผู้เลี้ยงผึ้งนำน้ำผึ้งออกมาขาย หรือเมื่อละอองเรณูมีไม่เพียงพอ พวกมันก็จะให้อาหารเสริมแก่ผึ้งในรัง ซึ่งประกอบด้วยโปรตีน แป้ง น้ำตาล และน้ำ แต่ผึ้งหาอาหารได้ไม่ครบตามต้องการมาโดยตลอ
แบรนดอน ฮอปกิน ศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขานิเวศวิทยาแมลงผสมเกสรที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าวว่า “ผึ้งเป็นสัตว์ที่กินอาหารหลายอย่างและไม่ได้รับสารอาหารทั้งหมดจากแหล่งเดียว พวกมันต้องการอาหารที่หลากหลายเพื่อความอยู่รอด แต่ตอนนี้แหล่งละอองเรณูที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผึ้งกำลังหายากขึ้นเรื่อย ๆ”
แพทริค พิลคิงตัน ซีอีโอของ APIX Biosciences US เน้นย้ำถึงความโดดเด่นของความก้าวหน้าครั้งนี้ เพราะผึ้งเป็นปศุสัตว์ชนิดเดียวที่ไม่สามารถเลี้ยงด้วยอาหารที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ แต่การทดลองแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผึ้งที่อยู่ภายใต้ภาวะเครียดทางโภชนาการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาก เมื่อได้รับอาหารแบบใหม่
เธียร์รี โบการ์ต ประธานของ APIX Biosciences และหัวหน้าทีมวิจัย ระบุว่าโครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันทั่วโลก โดยใช้เวลาทดลองมานานร่วมทศวรรษ พัฒนาส่วนผสมอาหารผึ้งมาหลายพันชนิดเพื่อสร้างอาหารนี้ขึ้นมา
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า “ไอโซฟูโคสเตอรอล” ซึ่งเป็นสารอาหารที่พบได้ตามธรรมชาติในละอองเรณู โมเลกุลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของผึ้ง ถ้าผึ้งไอโซฟูโคสเตอรอลนี้จะมีผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตได้ช้าลง เกิดความผิดปรกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้ผึ้งเคลื่อนไหวเชื่องช้าและมีการประสานงานที่บกพร่อง ไปจนถึงความสามารถในการหาอาหารและดูแลลูกผึ้งลดลง
ผึ้งดูเหมือนจะเก็บรักษาไอโซฟูโคสเตอรอลไว้อย่างระมัดระวังมากกว่าสเตอรอลชนิดอื่น ซึ่งชี้ให้เห็นถึงกลไกวิวัฒนาการที่เก็บรักษาไอโซฟูโคสเตอรอลไว้สำหรับกระบวนการสำคัญต่าง ๆ
เพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานจริง ทีม WSU ได้ทดสอบอาหารนี้กับผึ้งในทุ่งบลูเบอร์รี่และทุ่งทานตะวัน สภาพแวดล้อมเหล่านี้เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณภาพของละอองเรณูต่ำและมักทำให้ผึ้งเกิดความเครียด
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผึ้งที่ได้รับอาหารครบถ้วนมีอัตราการรอดชีวิตและการเจริญเติบโตที่สูงขึ้น ในขณะที่ผึ้งที่ได้รับอาหารทดแทนจากท้องตลาดหรือไม่ได้รับอาหารใด ๆ กลับมีอัตราการลดลงอย่างรวดเร็ว
ที่น่าสนใจคือ ผึ้งที่ได้รับซูเปอร์ฟู้ดแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของอาหารที่คล้ายคลึงกับละอองเรณูตามธรรมชาติ ผึ้งทุกตัวที่เลี้ยงด้วยซูเปอร์ฟู้ดกินอาหารในปริมาณที่ใกล้เคียงกับที่ได้รับละอองเรณู การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าอาหารเทียมสามารถทดแทนละอองเรณูได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เสริมเท่านั้น
“ละอองเกสรบลูเบอร์รี่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการมากนักสำหรับผึ้ง และพวกมันยังไม่ปรับตัวให้เข้ากับการผสมเกสรของพืชผลดังกล่าวได้ดีนัก แต่หากพวกมันมีแหล่งอาหารเสริมนี้ ผู้เลี้ยงผึ้งอาจกลับไปผสมเกสรในทุ่งนาเหล่านั้น เพราะพวกเขารู้ว่าผึ้งของพวกเขามีแนวโน้มที่จะอยู่รอดได้มากกว่า” ฮอปกินส์อธิบาย
ในปัจจุบันฤดูร้อนมาถึงเร็วและนาน ทำให้ผึ้งมีละอองเรณูและน้ำหวานไม่เพียงพอที่จะผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้ ยิ่งผึ้งขาดละอองเรณูนานหลายเดือน พวกมันก็จะยิ่งเผชิญกับความเครียดทางโภชนาการมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้เลี้ยงผึ้งจะสูญเสียผึ้งเหล่านี้มากขึ้นในช่วงฤดูหนาว
การศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผึ้งที่ได้รับอาหารครบถ้วนจะยังคงแข็งแรงตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง ผึ้งที่มีขนาดใหญ่และมีสุขภาพดีเหล่านี้จะเตรียมพร้อมสำหรับการจำศีลในช่วงฤดูหนาวได้ดีกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำนายการอยู่รอดในสภาพอากาศอบอุ่น
ขณะนี้ จำเป็นต้องมีการทดลองในวงกว้างเพื่อประเมินผลกระทบระยะยาวของอาหารที่มีต่อสุขภาพของผึ้ง แต่บริษัทมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นี้จะส่งผลดีต่อผู้เลี้ยงผึ้งและเกษตรกร โดยตั้งเป้าวางจำหน่ายในสหรัฐช่วงกลางปี 2026
“เรากำลังทำงานร่วมกับ WSU และชุมชนผู้เลี้ยงผึ้งทั่วสหรัฐ เพื่อพัฒนาวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือใหม่นี้ในบริบททางการเกษตร” พิลคิงตันกล่าว
ด้วยการแก้ไขปัญหาช่องว่างทางโภชนาการ นวัตกรรมนี้อาจช่วยปรับเปลี่ยนแนวทางการผสมเกสร ลดการสูญเสีย และเสริมสร้างระบบอาหารที่พึ่งพาผึ้ง