จิมทอมป์สัน เปิดศักยภาพ ซอฟต์พาวเวอร์ แบรนด์ไทยบนเวทีโลก
จิม ทอมป์สัน เปิดศักยภาพแบรนด์ไทยบนเวทีโลก! ผ่าอนาคตสิ่งทอเมืองไทยดันหัตถศิลป์ดั้งเดิม สู่ซอฟต์พาวเวอร์ยุคใหม่ที่ถักทอจากมรดกทางวัฒนธรรม
วันที่ 25 ส.ค. 2568 บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ในฐานะผู้พัฒนาแบรนด์ "จิม ทอมป์สัน" ผ้าไหมไทยระดับตำนาน เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยยืนหยัดในฐานะหนึ่งในเสาหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ด้วยมูลค่าส่งออกถึง 6,064.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างการจ้างงานกว่า 402,000 คน ใน 2,607 โรงงานทั่วประเทศ จากข้อมูลของรายงานสถิติสิ่งทอไทย 2566/2567 โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญนี้ คือความสามารถในการปรับตัวและสร้างสรรค์ผลงานที่สอดรับกับความต้องการใหม่ ๆ ของผู้บริโภค
อย่างไรก็ดีท่ามกลางกระแสเปลี่ยนแปลงนี้ แบรนด์สิ่งทอไทยจะยืนหยัดและผงาดบนเวทีโลกในยุคที่การแข่งขันไม่ได้อยู่แค่เรื่องราคา แต่คือการสื่อสารอัตลักษณ์ สร้างประสบการณ์ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคทั่วโลก
ทั้งนี้จิม ทอมป์สัน ในฐานะ "Thai Silk" ซึ่งนายเจมส์ แฮร์ริสัน วิลสัน ทอมป์สัน ขาวอเมริกัน อดีตเจ้าหน้าที่โอเอสเอส หรือซีไอเอในปัจจุบัน คือผู้เปลี่ยนโฉมหน้าผ้าไหมไทยจากผ้าท้องถิ่น สู่แฟชั่นไอเทมระดับโลก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชาไหมไทย"
โดยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จิม ทอมป์สัน ได้ทำความรู้จักและร่วมงานกับชุมชนนบ้านครัวเพื่อผลิตผ้าไหม ต่อมาได้เพิ่มเทคนิคการย้อมไหมด้วยสีเคมีและสีธรรมชาติให้ผ้าไหมมีเฉดสีสดใสแปลกใหม่ และในปี ค.ศ. 1951 แบรนด์ จิม ทอมป์สัน ภายใต้ บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
จากนั้นจึงมีการขยายฐานการผลิตไปที่จังหวัดนครราชสีมา ด้วยความตั้งใจในการสานต่อศิลปะการทอผ้าแบบดั้งเดิม จิม ทอมป์สัน นำเทคนิคโบราณมาผสานเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัย พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการผ้าไหมโดยได้พาไหมไทยเข้าสู่ตลาดสิ่งทอระดับโลก ตลอด 74 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้เดินหน้าขยายขอบเขตธุรกิจ จากผ้าไหมสู่ผลิตภัณฑ์และบริการไลฟ์สไตล์ครบวงจร ภายใต้มาตรฐานคุณภาพระดับสากล
หนึ่งสิ่งสำคัญที่แบรนด์สิ่งทอยุคนี้ต้องเข้าใจคือ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้ต้องการแค่สินค้า แต่มองหาคุณค่า วิสัยทัศน์ และคุณภาพจากแบรนด์
ในขณะที่ WISESIGHT Research ได้เปรียบเทียบพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคในแต่ละเจเนอเรชัน และพบว่า Gen X ต้องการสินค้าที่คุ้มค่า ทนทาน และให้ความสำคัญกับคุณภาพ ส่วน Gen Y มองหาสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และให้ความสำคัญกับคุณค่าและประสบการณ์
โดยมักเลือกแบรนด์จาก "ค่านิยม" ที่ตรงกันมากกว่าราคา ขณะที่ Gen Z กล้าเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ทั้งยังสนใจประเด็นเรื่องความยั่งยืนและแบรนด์ที่โปร่งใส พูดจริงทำจริง จากอินไซต์ทั้งสามเจเนอเรชัน จะเห็นว่าทุกกลุ่มต่างมองหาคุณภาพและตัวตนที่ชัดเจนของแบรนด์
จากพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละเจนเนอเรชั่นดังกล่าว จิม ทอมป์สัน ได้มีการพัฒนาและออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ ด้วยการเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมสิ่งทอที่ปลดล็อกขีดจำกัดของผ้าไหมแบบดั้งเดิม
ไม่ว่าจะเป็น Easy Care นวัตกรรมผ้าไหมซักง่ายด้วยเครื่อง เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่ ตลอดจน AQUASILK® คอลเลกชันสวิมแวร์จากนวัตกรรมผ้าไหมผสมไนลอนที่แห้งไว ตอบโจทย์กีฬาทางน้ำและแอ็กทีฟไลฟ์สไตล์
นอกจากนี้ จิม ทอมป์สัน ยังขยายศักยภาพของโลกแห่งผ้า ผ่านการร่วมมือกับวงการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ทำมือสัญชาติไทยอย่าง Kitt.Ta.Khon ในการออกแบบเก้าอี้และตกแต่งด้วยผลิตภัณฑ์ผ้าตกแต่งที่ทนทานและใช้งานนอกบ้านได้
รวมถึงการนำผ้าไหมมารังสรรค์เครื่องประดับที่ประณีตกับแบรนด์ไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Sarran ตลอดจนการร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง การบินไทย เพื่อนำเสนอ Amenity Kit ในชั้น Royal Silk จากผ้าของจิม ทอมป์สัน เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักเดินทางี่ทั่วโลก
รวมไปถึงการทำแคมเปญ Artists in Residence เพื่อออกแบบคอลเลกชันแฟชั่นร่วมกับศิลปินคนไทยรุ่นใหม่ นำเสนอสไตล์ที่สดใหม่และผลักดันวงการศิลปะให้เฟื่องฟูไปด้วยกัน
ทั้งนี้ จิม ทอมป์สัน ในฐานะแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกของไทย ที่ครอบคลุมทั้งสินค้าแฟชั่น ผ้าตกแต่ง ตลอดจนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
โดยเฉพาะการเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่สินค้าแฟชั่นและผ้าตกแต่งได้อยู่ในซีรีส์ยอดนิยมอย่าง The White Lotus 3 จนกลายเป็นกระแสไวรัลทั่วโลก ไปจนถึงการเผยโฉมคอลเลกชันผ้าตกแต่งที่งาน Paris Déco Off งานโชว์เคสสิ่งทอสุดยิ่งใหญ่ที่คนในวงการตกแต่งภายในทั่วโลกรอคอยทุกปี
โดยสินค้าผ้าตกแต่งบ้านของจิม ทอมป์สันได้ส่งออกไปมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และมีโชว์รูม 5 แห่งในกรุงเทพฯ ลอนดอน ปารีส นิวยอร์ก และแอตแลนต้า และมีโรงแรมกว่า 20 แห่งที่ติดอันดับ The World’s 50 Best Hotels เลือกใช้ผ้าตกแต่งของ จิม ทอมป์สัน
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ผ้าของแบรนด์ยังประดับตกแต่งสเปซในโรงแรมชั้นนำ โครงการเรสซิเดนซ์ และโปรเจกต์ระดับไฮเอนด์อีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก
โดยสินค้าผ้าตกแต่งของจิม ทอมป์สัน ให้ความสำคัญกับการเชิดชูและสานต่อเทคนิคงานหัตถศิลป์ดั้งเดิมของไทย อาทิ คอลเลกชัน Matmi II ที่สืบสานการมัดย้อมแบบไทยโดยช่างฝีมือท้องถิ่น
รวมถึงการพัฒนาเส้นใยผ้าให้มีคุณสมบัติพิเศษ อาทิ ไม่ลามไฟ สะท้อนน้ำ หรือการใช้เส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 100% ที่สะท้อนน้ำ ป้องกันรังสียูวี และคงสีสันสดใสอยู่เสมอ
สำหรับในปี 2568 จิม ทอมป์สัน ได้ปักหมุดหมายสำคัญ ทั้งการได้ร่วมงาน กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเตรียมนำเสนอ Jim Thompson Heritage Quarter ให้เป็นหนึ่งในจุดหมายท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมไทยกับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสการสืบสานวัฒนธรรมไทยในมิติของประวัติศาสตร์ แฟชั่น และอาหาร ที่จิม ทอมป์สัน ได้รวบรวมมาไว้ในไลฟ์สไตล์แลนด์มาร์กแห่งเดียว
ทำให้ จิม ทอมป์สัน กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของวงการสิ่งทอเมืองไทย ที่กล้าทลายกรอบ และกล้าสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ด้วยคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้ดีเอ็นเอที่ชัดเจนในการสานต่อมรดกวัฒนธรรมให้เข้ากับบริบทยุคใหม่ ในโลกที่ทุกแบรนด์ต้องสร้างความแตกต่างด้วยการเล่าเรื่อง โดยจิม ทอมป์สัน ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความ “Proudly Made in Thailand”บนเวทีสากลแล้ว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : จิมทอมป์สัน เปิดศักยภาพ ซอฟต์พาวเวอร์ แบรนด์ไทยบนเวทีโลก
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th