สุกี้ตี๋น้อย ทุ่มพันล้านปั้นครัวกลาง! รับแผนขยายสาขา-ลุยแบรนด์ใหม่
ตลาดสุกี้-ชาบูมีมูลค่ารวมกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท หนึ่งในแบรนด์ Rising Star ที่ถูกจับตามากที่สุดในช่วงนี้หนีไม่พ้น “สุกี้ตี๋น้อย” แบรนด์บุฟเฟต์สุกี้ยอดนิยม ภายใต้การบริหารของ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ตั้งเป้ารายได้ทะลุหมื่นล้านบาทในปี 2569 ภายใต้การนำทัพของ “เฟิร์น - นัทธมน พิศาลกิจวนิช” ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสุกี้ตี๋น้อย
ทั้งนี้ "สุกี้ตี๋น้อย" ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างครัวกลาง ปักหมุด คลอง 3 ถนนรังสิต จังหวัดปทุมธานี ซึ่ง"ครัวกลาง" ขนาดใหญ่นี้ซึ่งเวลาก่อสร้างกว่า 4 ปี และสามารถรองรับการดำเนินงานได้สูงสุดถึง 200 สาขา เปิดใช้เมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา โดยครัวกลางนี้เป็นหัวใจสำคัญในการผลิตวัตถุดิบหลักที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน และช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฟิร์น - นัทธมน ชี้ว่าการลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับแผนการขยายสาขาที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด รวมถึงการเปิดตัวธุรกิจใหม่ในอนาคต และมีแผนเร่งขยายต่อไปอีกกว่า 40 สาขาในปี 2569 การขยายตัวในครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่ "ตลาดเมืองรอง" มากขึ้น หลังจากที่ทดลองเปิดสาขาในจังหวัดต่างๆ และพบว่าได้รับการตอบรับที่ดีเทียบเท่าสาขาในเมืองใหญ่ เช่น นครปฐม, ราชบุรี และนครนายก
จากจุดเริ่มต้นในปี 2562 ที่มีเพียงสาขาแรกกับโต๊ะ 15 ตัว สุกี้ตี๋น้อยได้ขยายอาณาจักรอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมี 91 สาขา (รวมร้านบาร์บีคิวอีก 4 สาขา) โดยเฟิร์น - นัทธมน เปิดเผยว่าเคล็ดลับความสำเร็จคือการลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองในระยะเริ่มต้น เพื่อเข้าใจทุกจุดของธุรกิจ และสร้างทีมงานมืออาชีพขึ้นมาตามความจำเป็น เช่น ทีมประกันคุณภาพ (QA) และฝ่ายบุคคล (HR) เพื่อรองรับการสเกลธุรกิจที่รวดเร็ว ตั้งเป้าปิดปี 2568 มีสาขารวม 95 แห่ง
จากข้อมูลผลประกอบการของบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (สุกี้ตี๋น้อย) ล่าสุด พบว่า ณ สิ้นปี 2567 บริษัทสามารถสร้างรายได้รวม 7,075 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิสูงถึง 1,168 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้ถึง 34% และกำไร 28% จากปีก่อนหน้า
ยืนหยัดบนกลยุทธ์ "ความคุ้มค่า" ไม่ใช่ "สงครามราคา"
เฟิร์น - นัทธมน ได้ชี้แจงถึงกระแสข่าวที่ว่าบริษัทกำลังเผชิญ "สงครามราคา" ในตลาดร้านอาหาร โดยยืนยันว่าการตั้งราคาและโปรโมชันที่คุ้มค่านั้นไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่ แต่เป็นแนวทางการทำธุรกิจที่บริษัทยึดถือมาตลอด 8 ปี และการแข่งขันในปัจจุบันทำให้ตลาดคึกคักขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่มีตัวเลือกมากขึ้น โดยบริษัทไม่ได้กังวลเรื่องการแข่งขัน แต่กลับมองว่าเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโต
ยืนยันว่ากลยุทธ์ของสุกี้ตี๋น้อยคือการมอบ "ความคุ้มค่า" ให้กับลูกค้าเสมอมา ไม่ใช่การทำสงครามราคา ซึ่งเป็นดีเอ็นเอที่ยึดถือมาตั้งแต่เดย์วัน โดยบริษัทมองว่าราคาที่เหมาะสมกับลูกค้าทุกกลุ่ม การนำเสนอวัตถุดิบคุณภาพดี (เช่น เนื้อวัวนำเข้าจากออสเตรเลีย) การบริการที่ดี และการมีสาขาที่เข้าถึงง่าย คือปัจจัยที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสิ่งที่จ่ายไปนั้นคุ้มค่าเกินราคา โดยบริษัทไม่เน้นการแข่งขันระยะสั้น
สำหรับผลกำไรที่ลดลงในไตรมาส 2 ปี 2568 นั้น ไม่ได้มีสาเหตุจากโปรโมชันแต่อย่างใด แต่เกิดจากปัจจัยภายนอกคือ ต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะราคาเนื้อหมูและเนื้อวัวที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงดังกล่าว ซึ่งกระทบโดยตรงต่ออัตรากำไรของบริษัท อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์ราคาวัตถุดิบกลับมาสู่ภาวะปกติ ธุรกิจจะกลับมาทำกำไรในระดับที่น่าพอใจเช่นเดิม
ทั้งนี้เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดที่การแข่งขันสูงขึ้น สุกี้ตี๋น้อยได้ปรับกลยุทธ์การตลาด โดยหันมาให้ความสำคัญกับ Personal Branding ของผู้บริหาร ทำให้หลายคนคุ้นชินกับคำว่า “พี่เฟิร์น” ในช่องทางโซเชี่ยลมีเดียต่าง ๆ และการสื่อสารโดยตรงกับลูกค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น การไลฟ์สด การสื่อสารแบบใกล้ชิดนี้ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถพูดคุย ให้คำติชม และสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์ได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ และทำให้บริษัทสามารถรับฟังและปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด