เพนนิน พาทิซเซอรี่ “จากครัวคุณแม่สู่แบรนด์พันล้าน” กับเป้าหมายสู่ระดับโลก
เพนนิน พาทิซเซอรี่ เผยกลยุทธ์ “ป๊อปคอร์นเพื่อสุขภาพ” ปรับกลยุทธ์สู่ตลาดใหม่เน้นพรีเมียม สุขภาพและเวทีการค้าโลกเจาะประเทศกำลังซื้อสูง ฮ่องกง สิงคโปร์ ดูไบ เกาหลี และจีน ควบคู่ขยายช่องทางโมเดิร์นเทรด โรงแรม 5 ดาวในประเทศ สู้เศรษฐกิจชะลอตัว-ท่องเที่ยวหด
นางสาวพรพิมล ปักเข็ม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพนนิน เพนนี พาทิซเซอรี่ จำกัด เผยถึงเส้นทางการสร้างแบรนด์ภายใต้แนวคิด "จากครัวคุณแม่ สู่แบรนด์ป๊อปคอร์นเพื่อสุขภาพที่ครองใจตลาดพรีเมียม" จากความตั้งใจที่จะทำขนมที่ดีและปลอดภัยให้กับลูก จนสามารถพัฒนาเป็นแบรนด์ป๊อปคอร์นระดับพรีเมียมที่วางโพชิชั่นตำเองในตำแหน่ง “ป๊อปคอร์นเพื่อสุขภาพ” ที่ผู้เล่นน้อยราย
โดยเลือกใช้น้ำมันเมล็ดชา (Camellia Oil) และเทคโนโลยี "Air Pop" ซึ่งเป็นการอบข้าวโพดโดยไม่ใช้น้ำมัน เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ แม้จะมีต้นทุนวัตถุดิบที่สูงก็ตาม แบรนด์ยังได้สร้างความแตกต่างด้วยจุดขาย "หวานน้อย สุขภาพดี ไม่มีสารเคมี" พร้อมได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP และฮาลาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยวางตำแหน่งสินค้าเจาะตลาดพรีเมียมในห้างสรรพสินค้าระดับบน พร้อมแผนขยายสู่ตลาดต่างประเทศ
พลิกวิกฤตโควิด-19 สู่โอกาสเติบโต
พรพิมล เปิดเผยว่า ลูกค้าหลักๆของ “เพนนิน เพนนี” มีทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันส่งผลกระทบอย่างมากในส่วนของลูกค้าต่างชาติจากการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่ต่ำลง ขณะที่ลูกค้าคนไทยยอดค่าใช้จ่ายต่อบิลลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
“ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่ามีกลยุทธ์ไหนหรือทางออกไหนสำหรับสถานการณ์แบบนี้ ถือเป็นการฝึกฝนธุรกิจไปในตัวเพราะเราเป็น SME ตัวเล็ก เมื่อมีวิกฤตเข้ามาเราก็จะต้องหามุมมองใหม่ๆ หลังจากนี้เราจะไม่จับเฉพาะตลาดในประเทศอีกต่อไป แต่จะต้องมองไปถึงตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม”
พร้อมกับเล่าย้อนกลับไปว่าในช่วงโควิด เพนนิน เพนนี ได้รับผลกระทบอย่างหนักแทบจะขายไม่ได้ สิ่งที่เพนนิน เพนนี ทำคือ การออกสินค้ารสชาติใหม่ๆพร้อมกับขยายช่องทางการขายไปยังออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นจังหวะนี้ก็อาจเป็นช่วงที่เพนนินต้องกลับมา ล๊อนรสชาติใหม่ๆเพิ่มขึ้นเพื่อให้ลูกค้าในประเทศตื่นตัวมากขึ้นและได้โอกาสทดลองอะไรใหม่ๆมากขึ้น พร้อมๆไปกับโฟกัสตลาดต่างประเทศเข้มข้นมากขึ้น
มุ่งหน้าสู่ตลาดส่งออกด้วยจุดแข็งที่แตกต่าง
พรพิมลกล่าวว่า แบรนด์เพนนิน เพนนี มีวิสัยทัศน์ที่จะรุกตลาดต่างประเทศมาตั้งแต่แรก และด้วยความเป็นธุรกิจอาหารที่มีมาตรฐานฮาลาล ทำให้สามารถส่งออกได้อย่างไม่มีข้อจำกัด โดยมองว่าจุดแข็งของแบรนด์ที่แตกต่าง คือการให้ความสำคัญกับ คุณภาพและคุณค่า ของผลิตภัณฑ์ โดยใช้ส่วนผสมพรีเมียมอย่างเนยแท้จากฝรั่งเศสและวานิลลาจากมาดากัสการ์ รวมถึงการใส่ใจในรายละเอียดของแพ็กเกจจิ้งที่สามารถใช้เป็นของขวัญได้ ซึ่งสะท้อนปรัชญาของแบรนด์ที่เชื่อว่า "ความรักและความสุขสามารถส่งมอบให้กันได้"
“สิ่งที่เราให้ความสำคัญหลัก ๆ คือคุณภาพและคุณค่า ปัจจุบันผู้บริโภคมองเรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เราตอบโจทย์คือคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาใช้ ที่สำคัญป๊อปคอร์นของเราไม่ใช่แค่ขนมทานเล่น แต่สามารถเป็นของขวัญหรือของฝากได้ เพราะฉะนั้นเรามีทั้งแพ็กเกจจิ้งและกล่องของขวัญสำหรับเทศกาลต่าง ๆ เพราะผู้บริโภคปัจจุบันไม่ได้มองแค่ราคาเท่าไหร่ แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรามอบให้ ทำให้เราสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่ม Niche Market ซึ่งทำให้เราอยู่ได้อย่างแข็งแรง”
สำหรับแผนในอนาคต บริษัทฯ จะเน้นการส่งออกเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษา (Shelf Life) นานถึง 14 เดือน ทำให้สามารถส่งออกได้ง่าย โดยเล็งเป้าหมายไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ดูไบ เกาหลี และจีน ซึ่งล่าสุดได้มีการวางจำหน่ายที่ King Power เซี่ยงไฮ้ รวมถึงมีแผนเข้าร่วมงานโรดโชว์เพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศอาหรับและดูไบอีกด้วย
ยืนราคาเดิม แม้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน เพนนิน เพนนี ยังคงขยายฐานลูกค้าในประเทศอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่มีเพียงแพ็กเกจไซส์ใหญ่ (250 บาท) ก็ได้เพิ่มแพ็กเกจไซส์เล็ก (90 บาท) เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยวางจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดชั้นนำเช่น Top’s Gourmet Market, Villa Market, Big C หรือแม้แต่โรงแรม 5 ดาวอย่างโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ซึ่งมี Repeat Order อย่างสม่ำเสมอ
"ปีนี้เราก็จะรุกตลาดโรงแรม 5 ดาวเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยว”
พร้อมกันนี้พรพิมลยืนยันว่า “เพนนิน เพนนี” ไม่เคยเข้าร่วมสงครามราคา เพราะเชื่อว่าลูกค้าที่เข้าใจในแบรนด์จะเห็นถึงคุณค่าและความคุ้มค่าที่ได้รับ ไม่ใช่แค่ความอร่อยแต่เป็นเรื่องของสุขภาพ แม้ต้นทุนวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาช็อกโกแลตที่เพิ่มขึ้นถึง 75% แต่บริษัทยังคงยืนหยัดในราคาเดิม และอาจจะพิจารณาปรับขึ้นในอนาคตหากมีการออกรสชาติใหม่ที่มีต้นทุนสูงขึ้น แต่ยืนยันว่าจะต้องเป็นราคาที่คุ้มค่าสำหรับผู้บริโภคอย่างแน่นอน
“ที่ผ่านมาเราไม่เคยเล่นสงครามราคาเลย เพราะเราให้ความสำคัญกับคุณค่าและความคุ้มค่าในแง่ของสิ่งที่ลูกค้าได้รับ เราไม่ได้เซ็ทโครงสร้างธุรกิจมาเพื่อทำสงครามราคา แต่เป็นโครงสร้างธุรกิจที่เน้นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และลูกค้าของเพนนินเองก็ไม่ใช่ลูกค้าที่คอนเซิร์นในเรื่องของราคา”
พรพิมลปิดท้ายว่า “เพนนิน เพนนี” ไม่ได้เริ่มต้นจากการที่อยากทำผลิตภัณฑ์เพื่อส่งออกหรือขาย แต่เริ่มต้นจากบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ต้องการทำให้ลูกค้าเราใส่ใจกับวัตถุดิบ…และเราเชื่อว่าถ้าเราให้ความสำคัญกับคุณค่าและคุณภาพ สิ่งเหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่ม Niche Market ได้อย่างแข็งแรง”